ฟาโรห์อาโมสที่ 2
ฟาโรห์อามาซิสที่ 2 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
อาโมสที่ 2 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รูปสลักส่วนพระเศียรของฟาโรห์อามาซฺสที่ 2 ราว 550 ปีก่อนคริสตกาล | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ฟาโรห์ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
รัชกาล | 570–526 ปีก่นอคริสตกาล | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ก่อนหน้า | เอพริส | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ถัดไป | ซามาเจิกที่ 3 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คู่เสกสมรส | เทนต์เคตา, พระราชมารดาของฟาโรห์ซามาเจิกที่ 3 นัคต์อูบาสเตราอู ลาดิซ เซเดบนิทเจอร์โบเนที่ 2 (พระราชธิดาในฟาโรห์เอพริส) ตาดิอาซิร์? | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พระราชบุตร | ซามาเจิก ปาเซนเอนคอนซู อาโมส (ดี) ตาเชเรนอิเซทที่ 2? นิโตคริสที่ 2 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
พระราชมารดา | ตาเชเรนอิเซทที่ 1 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
สวรรคต | 526 ปีก่อนคริสตกาล | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ราชวงศ์ | ราชวงศ์ที่ยี่สิบหก |
อามาซิสที่ 2 (กรีกโบราณ: Ἄμασις Ámasis; ฟินิเชีย: 𐤇𐤌𐤎 ḤMS)[2] หรืออาโมสที่ 2 เป็นฟาโรห์แห่งอียิปต์โบราณจากราชวงศ์ที่ยี่สิบหก พระองค์ทรงครองราชย์ระหว่าง 570 – 526 ปีก่อนคริสตกาล และทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากฟาโรห์เอพริส โดยมีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองซาอิส และพระองค์ทรงเป็นผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่พระองค์สุดท้ายของอียิปต์ก่อนการพิชิตของเปอร์เซีย[3]
พระราชประวัติ
ข้อมูลส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับฟาโรห์อามาซิสที่ 2 มาจากเฮโรโดตัส (2.161ff) และสามารถตรวจสอบได้อย่างไม่สมบูรณ์ด้วยหลักฐานถาวรวัตถุเท่านั้น ตามคำบอกเล่าของนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก พระองค์ทรงมีต้นกำเนิดจากสามัญชน[4] เดิมทีแล้วพระองค์ทรงเป็นนายทหารในกองทัพอียิปต์ บ้านเกิดของเขาคือซิอุฟที่เมืองซาอิส เขามีส่วนร่วมในการดำเนินการทางทหารทั่วไปของฟาโรห์ซามาเจิกที่ 2 ในช่วง 592 ปีก่อนคริสตกาลในนิวเบีย[5]
พระองค์ทรงมีโอกาสในการยึดพระราชบัลลังก์ เนื่องจากมีการก่อกบฎที่เกิดขึ้นในหมู่ทหารอียิปต์พื้นเมือง กองทหารเหล่านี้ที่เดินทางกลับบ้านจากการเดินทางไปซิเรเนในลิเบีย และสันนิษฐานว่าพวกเขาถูกหักหลังเพื่อให้ฟาโรห์เอพริส ซึ่งครองราชย์ในช่วงเวลานั้น ให้สามารถปกครองโดยทหารรับจ้างชาวกรีกได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ชาวอียิปต์หลายคนเห็นใจพวกเขาอย่างเต็มที่ โดยนายพลอามาซิสที่ถูกส่งไปพบพวกเขาและปราบปรามการจลาจล แต่ได้รับการยอมรับให้ขึ้นเป็นฟาโรห์โดยพวกกบฏแทน และทำให้ฟาโรห์เอพริส ผู้ซึ่งต้องพึ่งพาทหารรับจ้างของพระองค์ทั้งหมด พ่ายแพ้[6] จากนั้นพระองค์ทรงลี้ภัยไปยังดินแดนบาบิโลเนีย ต่อมาทรงถูกจับและสังหารหลังจากการกลับเข้ามายังดินแดนอียิปต์อีกในช่วง 567 ปีก่อนคริสตศักราชด้วยความช่วยเหลือจากกองทัพบาบิโลน[7] คำจารึกยืนยันการต่อสู้ระหว่างชาวอียิปต์พื้นเมืองกับทหารต่างชาติ และพิสูจน์ว่าฟาโรห์เอพริสทรงถูกสังหารและถูกฝังอย่างสมพระเกียรติในปีที่สามแห่งการครองราชย์ของฟาโรห์อามาซิสที่ 2 (ราว 567 ปีก่อนคริสตศักราช)[6] จากนั้นพระองค์ก็ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางเชเดบนิทเจอร์โบเนที่ 2 ซึ่งเป็นพระราชธิดาพระองค์หนึ่งของฟาโรห์เอพริส ผู้ซึ่งเป็นผู้ปกครองก่อนหน้าของพระองค์ เพื่อทำให้ความเป็นกษัตริย์ของพระองค์ถูกต้องและชอบธรรม[8]
มีการค้นพบข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับต้นกำเนิดพระองค์จากรูปสลักพระราชมารดาของพระองค์ ซึ่งมีพระนามว่า ตาเชเรนอิเซท ปัจจุบันตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑ์บริติช[9] บล็อกหินจากเมฮัลเลต อัล-กุบรา ยังระบุพระนามของพระอัยยิกาฝ่ายพระราชมารดา หรือ พระราชมารดาของพระนางตาเชเรนอิเซท ซึ่งมีพระนามว่า ทเจนมูเททจ์[10]
เป็นทราบยังดีเกี่ยวกับภายในราชสำนักในรัชสมัยของพระองค์ โดยในอนุสาวรีย์หลายแห่งปรากฎชื่อของหัวหน้าฝ่ายเฝ้ายามพระทวารนามว่า อาโมส-ซา-นิธ รวมทั้งที่ตั้งของโลงศพของเขา เขายังถูกกล่าวถึงในอนุเสาวรีย์จากสมัยราชวงศ์ที่สามสิบ และเห็นได้ชัดว่ามีความสำคัญเป็นพิเศษในสมัยของเขา วาอิบเร ผู้ซึ่งรั้งตำแหน่งเป็น 'ผู้นำของชาวต่างชาติทางใต้' และ 'หัวหน้าประตูของชาวต่างชาติ' ดังนั้นเขาจึงเป็นเจ้าหน้าที่สูงสุดในการรักษาความปลอดภัยชายแดน อูดจาฮอร์เรสเนต ผู้มีความเกี่ยวของทางด้านการแพทย์ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นภายใต้รัชสมัยฟาโรห์อามาซิส ซึ่งมีความสำคัญเป็นพิเศษต่อชาวเปอร์เซีย อีกทั้งยังทราบเกี่ยวกับ "หัวหน้ากองเรือ" ซึ่งมีจำนวนหลายคน ส่วนราชมนตรีในรัชสมัยของพระองค์ที่เป็นที่ทราบ คือ ซามาเจิก เมรินิท และปาเชริเอนตาอิเฮต หรือ ปาดินิธ
เฮโรโดตัสยังอธิบายว่าในท้ายที่สุดแล้วฟาโรห์อามาซิสที่ 2 จะก่อให้เกิดการเผชิญหน้ากับกองทัพเปอร์เซียได้อย่างไร โดยอ้างอิงจากเฮราโดตัส กษัตริย์แคมไบซีสที่ 2 หรือ ไซรัส มหาราช ได้ทรงขอจักษุแพทย์ชาวอียิปต์จากพระองค์ แต่ดูเหมือนว่าฟาโรห์อามาซิสจะปฏิบัติตามด้วยการบังคับให้แพทย์ชาวอียิปต์ไปตามคำขอดังกล่าว ทำให้เขาต้องทิ้งครอบครัวไว้ที่อียิปต์และย้ายไปเปอร์เซียโดยถูกบังคับให้ลี้ภัย ในความพยายามที่จะล้างแค้นในเรื่องนี้ แพทย์ได้ใกล้ชิดกับกษัตริย์แคมไบซีสอย่างมากและแนะนำว่าให้กษัตริย์แคมไบซีสควรไปขอพระราชธิดาจากฟาโรห์อามาซิสมาอภิเษกสมรส เพื่อกระชับสายสัมพันธ์ของพระองค์กับอียิปต์ และกษัตริย์แคมไบซีสก็ทรงปฏิบัติตามคำแนะนำและทรงขอพระราชธิดาของฟาโรห์อามาซิสมาอภิเษกสมรส[11]
ฟาโรห์อามาซิสทรงกังวลว่าพระราชธิดาของพระองค์จะกลายเป็นนางสนมของกษัตริย์เปอร์เซีย พระองค์จึงทรงปฏิเสธคำขอจากกษัตริย์แคมไบซีส แต่ฟาโรห์อามาซิสทรงไม่ไม่ปรารถนาที่จะเป็นปรปักษ์กับจักรววรดิเปอร์เซีย ดังนั้น พระองค์จึงสร้างแผนหลอกลวง โดยพระองค์จะทรงบังคับพระราชธิดาของฟาโรห์เอพริสให้ไปเปอร์เซียแทนที่จะเป็นพระราชธิดาของพระองค์เอง[11][12][13]
พระราชธิดาของฟาโรห์เอพริสพระองค์นี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากพระนางนิเตติส ตามการบันทึกของเฮโรโดตัสได้กล่าวว่า "ทรงมีส่วนสูงที่สูงและสิริโฉมงดงาม" โดยพระนางนิเตติสได้ทรงทรยศฟาโรห์อามาซิส และเมื่อได้รับการต้อนรับจากกษัตริย์เปอร์เซียแล้ว พระองค์ก็ทรงอธิบายแผนลวงของฟาโรห์อามาซิส และต้นกำเนิดที่แท้จริงของพระองค์ ทำให้กษัตริย์แคมไบซีสทรงพิโรธอย่างยิ่ง และพระองค์ทรงสาบานว่าจะแก้แค้นในเรื่องนี้ แต่ฟาโรห์อามาซิสเสด็จสวรรคตไปเสียก่อนที่กษัตริย์แคมไบซีสจะยกทัพมาถึง โดนฟาโรห์ซามาเจิกที่ 3 ผู้เป็นพระราชโอรส ทรงต้องมารับศึกแทนและพ่ายแพ้ในเวลาต่อมา[11][13]
เฮโรโดตัสยังอธิบายอีกด้วยว่า ฟาโรห์อามาซิสทรงอาศัยทหารรับจ้างและสมาชิกขุนนางชาวกรีกเฉกเช่นเดียวกันผู้ปกครองก่อนหน้าพระองค์ หนึ่งในบุคคลดังกล่าวคือ ฟาเนสแห่งฮาลิคาร์นาสซัส ซึ่งภายหลังจะหายไปในรัชสมัยฟาโรห์อามาซิส ด้วยเหตุผลที่เฮโรโดตัสไม่ทราบอย่างแน่ชัด แต่สันนิษฐานว่าเป็นบุคคลระหว่างบุคคลทั้งสองดังกล่าว ฟาโรห์อามาซิสทรงส่งขันทีคนหนึ่งไปจับกุมฟาเนส แต่ขันทีถูกขุนนางผู้เฉลียวฉลาดเอาชนะ และฟาเนสได้หนีไปยังเปอร์เซีย ซึ่งพบกับกษัตริย์แคมไบซีสและให้คำแนะนำในการบุกอียิปต์ ในที่สุดอียิปต์ก็พ่ายแพ้ต่อชาวเปอร์เซียในระหว่างการรบที่เมืองเปลูเซียมใน 525 ปีก่อนคริสตกาล[13]
ความมั่งคั่งของอียิปต์
ฟาโรห์อามาซิสทรงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างอียิปต์ใกล้ชิดกับกรีซมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฮโรโดตัสเล่าว่า ภายใต้การบริหารที่รอบคอบ พระราชอาณาจักรอียิปต์มีความมั่งคั่งระดับใหม่ ฟาโรห์อามาซิสทรงโปรดให้มีการประดับประดาเหล่าวิหารในอียิปต์ล่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับวิหารน้อยที่สวยงามและอนุสาวรีย์อื่น ๆ (กิจกรรมทางสถาปัตยกรรมของพระองค์สามารถพิสูจน์ได้จากซากที่หลงเหลืออยู่)[6] ตัวอย่างเช่น วิหารที่โปรดให้สร้างขึ้นโดยพระองค์ได้รัการขุดค้นที่เทล เนเบชา[ต้องการอ้างอิง]
พระองค์ทรงพระราชทานอาณานิคมทางการค้าในเมืองนอคราติสที่ตั้งบนแม่น้ำสาขาคาโนปัสของแม่น้ำไนล์ให้กับชาวกรีก และเมื่อวิหารแห่งเดลฟีถูกเผา พระองค์ทรงบริจาคเงิน 1,000 ตะเลนต์เพื่อสร้างวิหารใหม่ นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงชาวกรีกพระนามว่า ลาดิซ ซึ่งเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์บัตตุสที่ 3 และยังทรงเป็นพันธมิตรกับพอลิคราเตสแห่งซามอสและโครเอซัสแห่งลิเดีย[7] มงแตญได้อ้างอิงงานเขียนของเฮโรโดตัสที่ว่า พระนางลาดิชทรงรักษาฟาโรห์อามาซิสให้หายจากความอ่อนแอด้วยการสวดอ้อนวอนถึงเทพีวีนัสหรืออะโฟรไดที[14]
ภายใต้รัชสมัยของฟาโรห์อามาซิส เศรษฐกิจที่มีพื้นฐานทางการเกษตรของอียิปต์มาถึงจุดสูงสุด โดยเฮโรโดตัส ผู้ซึ่งไปเยือนดินแดนอียิปต์ในช่วงน้อยกว่าหนึ่งศตวรรษหลังจากการเสด็จสวรรคตของพระองค์ ได้บันทึกว่า:
ว่ากันว่าในรัชสมัยของฟาโรห์อาโมสที่ 2 (อามาซิส) ที่อียิปต์มีความเจริญรุ่งเรืองในระดับสูงสุดทั้งในแง่ของสิ่งที่แม่น้ำให้แผ่นดินและในแง่ของสิ่งที่แผ่นดินให้ไว้กับผู้คนและจำนวนเมืองที่อาศัยอยู่ ซึ่งในขณะนั้นมีจำนวนถึง 20,000 เมือง[15]
พระราชอาณาเขตในรัชสมัยของพระองค์มีอาณาเขตทางตอนใต้ไปจรดที่แก่งน้ำตกแรกเท่านั้น นอกจากนี้ยังอาณาเขตขึ้นไปยังเกาะไซปรัส และพระองค์ทรงแผ่อิทธิพลไปทางทิศตะวันตกบริเวณเมืองซิเรเนในลิเบีย[6] ในปีที่สี่แห่งการครองราชย์ของพระองค์ (ราว 567 ปีก่อนคริสตศักราช) ฟาโรห์อามาซิสทรงสามารถเอาชนะการรุกรานอียิปต์โดยชาวบาบิโลนภายใต้กครองของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 โดยต่อจากนี้ไป ชาวบาบิโลนได้ประสบปัญหาในการควบคุมอาณาจักรของตนจนต้องละทิ้งการโจมตีฟาโรห์อามาซิสในอนาคต[16] อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา พระองค์ทรงต้องเผชิญกับศัตรูที่น่าเกรงขามกว่าด้วยการผงาดขึ้นของจักรวรรดิเปอร์เซียภายใต้การนำของกษัตริย์ไซรัสมหาราช ผู้ทรงขึ้นครองบัลลังก์ในช่วง 559 ปีก่อนคริสตกาล ปีสุดท้ายแห่งการครองราชย์ของพระองค์ พระองค์ทรงเกี่ยวพันอยู่กับการคุกคามของเปอร์เซียที่ใกล้จะโจมตีอียิปต์[17] ด้วยทักษะเชิงกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม กษัตริย์ไซรัสได้ทรงบุกทำลายลิเดียในช่วง 546 ปีก่อนคริสตกาล และในที่สุดก็ทรงเอาชนะชาวบาบิโลนใน 538 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งทำให้ฟาโรห์อามาซิสทรงไม่เหลือพันธมิตรหลักในดินแดนตะวันออกใกล้ที่จะตอบโต้กำลังทหารที่เพิ่มขึ้นของเปอร์เซีย[17] ฟาโรห์อามาซิสทรงตอบสนองกลับด้วยการปลูกฝังความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับรัฐกรีกเพื่อตอบโต้การรุกรานของเปอร์เซียในอียิปต์ในอนาคต แต่พระองค์เสด็จสวรรคตเสียก่อนในช่วง 526 ปีก่อนคริสตกาล เพียงไม่นานก่อนที่เปอร์เซียจะโจมตีอียิปต์[17] การโจมตีครั้งสุดท้ายนั้นได้เปลี่ยนเป้าหมายจากพระองค์มาเป็นฟาโรห์ซามาเจิกที่ 3 ผู้เป็นพระราชโอรสแทน และทรงพ่ายแพ้ให้แก่จักรวรรดิเปอร์เซีย หลังจากที่พระองค์ทรงขึ้นครองพระราชบัลลังก์เพียงระยะเวลาหกเดือนในช่วง 525 ปีก่อนคริสตกาล[18]
สถานที่ฝังพระบรมศพและการทำลาย
ฟาโรห์อามาซิสที่ 2 เสด็จสวรรคตในช่วง 526 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์ถูกฝังไว้ที่สุสานหลวงแห่งซาอิส และในขณะที่หลุมฝังพระบรมศพของพระองค์ยังไม่ถูกค้นพบอีกครั้ง เฮโรโดตัสได้บรรยายลักษณะหลุมฝังพระบรมศพว่า
[เป็น]อาคารหินขนาดใหญ่ที่ประดับประดาด้วยเสาแกะสลักเลียนแบบต้นปาล์ม และเครื่องประดับราคาแพงอื่นๆ ภายในวิหารคดเป็นห้องที่มีประตูสองบาน และด้านหลังประตูเป็นที่ตั้งของห้องฝังพระบรมศพ[19]
เฮโรโดตัสยังกล่าวถึงการทำลายมัมมี่ของฟาโรห์อามาซิส เมื่อกษัตริย์แคมไบซีสพิชิตอียิปต์และล่มล้างราชวงศ์ที่ยี่สิบหกที่ปกครองอยู่เมืองซาอิสได้
[กษัตริย์แคมไบซีส]เสด็จเข้าไปในพระราชวังของฟาโรห์อามาซิส ไม่ทันไรพระองค์ก็ทรงสั่งให้เอาร่างของ[ฟาโรห์มามาซิส]ออกจากหลุมฝังพระบรมศพที่ฝังอยู่ เมื่อนำออกมาแล้ว พระองค์ก็ดำเนินการดูหมิ่นพระบรมศพด้วยความอัปยศทุกอย่าง เช่น ฟาดด้วยแส้ แทงด้วยปฏัก ถอนขน ... เมื่อพระวรกายได้รับการดองและจะไม่แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กษัตริย์แคมไบซีสจึงทรงสั่งให้เผาพระบรมศพเสีย[20]
การกล่าวถึงในภายหลัง
นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล มีหลักฐานของเรื่องราวเกี่ยวกับฟาโรห์อามาซิสในแหล่งข้อมูลของอียิปต์ (รวมถึงบันทึกปาปิรุสเดมอติกที่เขียนขึ้นราวศตวรรษที่สามก่อนคริสตกาล), เฮโรโดตัส, เฮลลานิคอส และ คอนวิวิอุม เซปเตม ซาเปียนติอุม ของพลูทาร์ก ในนิทานเหล่านั้น ฟาโรห์อามาซิสถูกนำเสนอเป็นฟาโรห์ที่ไม่ธรรมดา ประพฤติตนไม่เหมาะสมต่อกษัตริย์ แต่มีพรสวรรค์ด้วยสติปัญญาและไหวพริบที่ใช้งานได้จริง นักเล่นกลบนบัลลังก์ หรือโซโลมอนแห่งอียิปต์[10]
แกลลอรี
-
ภาพสลักของฟาโรห์อามาซิสจากวิหารคาร์นัก
-
ปาปิรุสที่เขียนขึ้นด้วยอักษรเดมอติกในช่วงปีที่ 35 แห่งการปกครองของฟาโรห์อามาซิสที่ 2 ปัจจุบันตั้งจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
-
จารึกมอบที่ดินผืนหนึ่งให้แก่วิหาร มีอายุย้อนไปถึงปีแรกแห่งการครองราชย์ของฟาโรห์อามาซิสที่ 2 จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
-
จารึกที่มีอายุเก่าแก่ย้อนไปถึงปีที่ 23 แห่งการปกครองของฟาโรห์อามาซิส จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 Peter A. Clayton (2006). Chronicle of the Pharaohs: The Reign-By-Reign Record of the Rulers and Dynasties of Ancient Egypt. p. 195. ISBN 978-0-500-28628-9.
- ↑ Schmitz, Philip C.. "Chapter 3. Three Phoenician “Graffiti” at Abu Simbel (CIS I 112)". The Phoenician Diaspora: Epigraphic and Historical Studies, University Park, USA: Penn State University Press, 2021, pp. 35-39. https://doi.org/10.1515/9781575066851-005
- ↑ Lloyd, Alan Brian (1996), "Amasis", ใน Hornblower, Simon; Spawforth, Anthony (บ.ก.), Oxford Classical Dictionary (3rd ed.), Oxford: Oxford University Press, ISBN 0-19-521693-8
- ↑ Mason, Charles Peter (1867). "Amasis (II)". ใน William Smith (บ.ก.). Dictionary of Greek and Roman Biography and Mythology. Vol. 1. Boston: Little, Brown and Company. pp. 136–137.
- ↑ Clayton, Peter A. (2006). Chronicle of the Pharaohs: The Reign-by-Reign Record of the Rulers and Dynasties of Ancient Egypt (Paperback ed.). Thames & Hudson. pp. 195–197. ISBN 0-500-28628-0.
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 ประโยคหรือส่วนของบทความก่อนหน้านี้ ประกอบด้วยข้อความจากสิ่งพิมพ์ซึ่งปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติ: Griffith, Francis Llewellyn (1911). . ใน Chisholm, Hugh (บ.ก.). สารานุกรมบริตานิกา ค.ศ. 1911. Vol. 1 (11 ed.). สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์. p. 782. This cites:
- W. M. Flinders Petrie, History, vol. iii.
- James Henry Breasted, History and Historical Documents, vol. iv. p. 509
- Gaston Maspero, Les Empires.
- ↑ 7.0 7.1 Herodotus, The Histories, Book II, Chapter 169
- ↑ "Amasis". Livius. สืบค้นเมื่อ 31 March 2019.
- ↑ Dodson, Aidan & Hilton, Dyan (2004). The Complete Royal Families of Ancient Egypt. Thames & Hudson. pp. 245& 247. ISBN 0-500-05128-3.
- ↑ 10.0 10.1 Konstantakos, Ioannis M. (2004). "Trial by Riddle: The Testing of the Counsellor and the Contest of Kings in the Legend of Amasis and Bias". Classica et Mediaevalia. 55: 85–137 (p. 90).
- ↑ 11.0 11.1 11.2 Herodotus (1737). The History of Herodotus Volume I,Book II. D. Midwinter. pp. 246–250.
- ↑ Sir John Gardner Wilkinson (1837). Manners and customs of the ancient Egyptians: including their private life, government, laws, art, manufactures, religions, and early history; derived from a comparison of the paintings, sculptures, and monuments still existing, with the accounts of ancient authors. Illustrated by drawings of those subjects, Volume 1. J. Murray. p. 195.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 Herodotus (Trans.) Robin Waterfield, Carolyn Dewald (1998). The Histories. Oxford University Press, US. p. 170. ISBN 978-0-19-158955-3.
- ↑ Montaigne, de, Michel. "20". ใน William Carew Hazlitt (บ.ก.). The Essays of Michel de Montaigne. แปลโดย Charles Cotton. The University of Adelaide. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 2, 2018. สืบค้นเมื่อ November 22, 2019.
- ↑ Herodotus, (II, 177, 1)
- ↑ Lloyd, Alan B. (2002). "The Late Period". ใน Shaw, Ian (บ.ก.). The Oxford History of Ancient Egypt (Paperback ed.). Oxford Univ. Press. pp. 381–82. ISBN 0-19-280293-3.
- ↑ 17.0 17.1 17.2 Lloyd. (2002) p.382
- ↑ Griffith 1911.
- ↑ "Egypt: Amasis, the Last Great Egyptian Pharaoh". www.touregypt.net.
- ↑ Herodotus, The Histories, Book III, Chapter 16
แหล่งข้อมูลอื่น
- Ray, John D. (1996). "Amasis, the pharaoh with no illusions". History Today. 46 (3): 27–31.
- Leo Depuydt: Saite and Persian Egypt, 664 BC–332 BC (Dyns. 26–31, Psammetichus I to Alexander's Conquest of Egypt). In: Erik Hornung, Rolf Krauss, David A. Warburton (Hrsg.): Ancient Egyptian Chronology (= Handbook of Oriental studies. Section One. The Near and Middle East. Band 83). Brill, Leiden/Boston 2006, ISBN 978-90-04-11385-5, S. 265–283 (Online).