สูตร English-Grammar

Download as doc, pdf, or txt
Download as doc, pdf, or txt
You are on page 1of 119

1

INDEX
Chapter 1 == If-Clause ( ประโยคเงือ
่ นไข ) ==
Chapter 2 == Question Tag ==
Chapter 3 == Tenses (1) Present Simple Tense ==
Chapter 4 == Tenses (2) Present Continuous Tense ==
Chapter 5 == Tenses (3) Past Simple Tense ==
Chapter 6 == Tenses (4) Present Perfect Tense ==
Chapter 7 == Tenses (5) Future Simple Tense ==
Chapter 8 == Singular and Plural ==
Chapter 9 == Tenses (6) Past Continuous Tense ==
Chapter 10 == Tenses (7) Present Perfect Continuous Tense ==
Chapter 11 == Tenses (8) Past Perfect Tense ==
Chapter 12 == Tenses (9) Future Perfect Tense ==
Chapter 13 == Errors in Tenses (1) ==
Chapter 14 == Errors in Tenses (2) ==
Chapter 15 == Indirect Speech : Introduction ==
Chapter 16 == Indirect Speech : หลักการเปลีย
่ น ==
Chapter 17 == Indirect Speech : ประโยคคำาสัง่ หรือประโยคขอร้อง ==
Chapter 18 == Indirect Speech : ประโยคคำาถาม ==
Chapter 19 == Indirect Speech : ประโยคทีใ่ ช้ LET'S ==
2

Chapter 20 == Indirect Speech : ประโยคอุทาน ( Exclamation ) ==


Chapter 21 == Indirect Speech : รวมประโยคหลายแบบเข้าด้วยกัน ===
Chapter 22 == Indirect Speech : ประโยค Direct ทีข
่ ึน
้ ต้นด้วย Yes หรือ No
==
Chapter 23 == Indirect Speech : ข้อสังเกตอืน
่ ๆ ==
Chapter 24 == Passive Voice : Introduction ==
Chapter 25 == Passive Voice : หลักการเปลีย
่ น ==
Chapter 26 == Passive Voice : ตัวอย่างการเปลีย
่ นประโยค Active เป็น

Passive ใน 12 Tenses ==
Chapter 27 == Passive Voice : คำากริยาทีไ่ ม่สามารถทำาเป็นประโยค Passive ได้

==
Chapter 28 == Passive Voice : ประโยคคำาถาม ==
Chapter 29 == Passive Voice : ประโยคคำาสัง่ ==
Chapter 30 == Passive Voice : ประโยคทีไ่ ม่ต้องการ by ==
Chapter 31 == Passive Voice : กรณีมีกรรม 2 ตัว ===
Chapter 32 == Passive Voice : กรณีมีกริยาช่วย ( Helping Verbs ) ===
Chapter 33 == Passive Voice : กรณีอืน
่ ๆ ===
Chapter 34 == Verb : Introduction ===
Chapter 35 == Verb : หน้าทีข
่ อง Verb to Be ===
Chapter 36 == Verb : หน้าทีข
่ อง Verb to Do ===
Chapter 37 == Verb : หน้าทีข
่ อง May, Might ===
Chapter 38 == Verb : หน้าทีข
่ อง Verb to Have ===
3

Chapter 39 == Verb : หน้าทีข


่ อง Will, Shall ===
Chapter 40 == Verb : หน้าทีข
่ อง Would, Should ===
Chapter 41 == Verb : หน้าทีข
่ อง Can, Could ===
Chapter 42 == Verb : หน้าทีข
่ อง Have to, Have got to, Had better
===
Chapter 43 == Verb : หน้าทีข
่ อง Must ===
Chapter 44 == Verb : หน้าทีข
่ อง Ought to ===
Chapter 45 == Verb : หน้าทีข
่ อง Dare ===
Chapter 46 == Verb : หน้าทีข
่ อง Need ===
Chapter 47 == Verb : หน้าทีข
่ อง Used to ===
Chapter 48 == Sentences : Simple Sentence ===
Chapter 49 == Sentences : Compound Sentence ===
Chapter 50 == Sentences : Complex Sentence ===
Chapter 51 == Sectences : Compound Complex Sentence ===
Chapter 52 == Word Building : Common Prefixes (1) ===
Chapter 53 == Word Building : Common Prefixes (2) ===
Chapter 54 == Word Building : Common Prefixes (3) ===
Chapter 55 == Word Building : Common Suffixes ===
Chapter 56 == Preposition : On ===
Chapter 57 == Preposition : In ===
Chapter 58 == Preposition : At ===
Chapter 59 == Preposition : By ===
4

Chapter 60 == Preposition : Out of ===


Chapter 61 == Preposition : With ===
Chapter 62 == Preposition : Before & After ===
Chapter 63 == Preposition : Of

บทที ่ ๑ ( Chapter 1 )

ประโยคเงือ
่ นไข ( If-Clause )
If -Clause หรือทีเ่ ราร้้จักกันดีในภาษาไทยว่า " ประโยคเงือ
่ นไข ( Conditional
Sentence ) " นัน
้ นะครับ ถ้าหากจะแบ่งหลักๆ จริงๆ ละก็ ผมขอแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ เลย

นะครับ ( นักเรียนทีน
่ ่ารักของผม กรุณาอย่าเพิง่ ง่วงหาวนอนไปก่อนนะครับผมจะอธิบายไม่เยิน
่ เย้อหรอก

ครับ .....รับรอง ^_^ ) ทีผ


่ มเลือกเอาเรือ
่ งมาพ้ดก่อน ก็ผมเห็นว่า มีโอกาสจะได้ใช้เยอะครับประโยค

If-Clause เนีย

แบบที ่ 1 การใช้เงือ
่ นไขทีจ
่ ะเป็นจริง ( Future Possible )
If + Present Simple Tense + Subj. + will + V1
แบบนีน
้ ะครับ ใช้สำาหรับเหตุการณ์ทีผ
่ ้พ้ดแน่ใจว่า เงือ
่ นไขนัน
้ จะเป็นจริง ผลทีจ
่ ะเกิดก็จะเกิดขึน
้ ตามมา
อย่างแน่นอน

If Alex studies hard, he will pass the exam.


ถ้าอเล็กซ์ขยันเรียน เขาก็จะสอบผ่านนะ

( ผ้้พ้ดแน่ใจว่า เขาจะสอบผ่านอย่างแน่นอน ถ้าเขามีความตัง้ ใจจริง )


If she hurries, she will be in time.
ถ้าหล่อนรีบ หล่อนก็จะทันเวลาชัวร์

( ผ้้พ้ดมัน
่ ใจว่า ถ้าหล่อนรีบก็จะทันเวลาอย่างแน่นอน )
แบบที ่ 2 การใช้เงือ
่ นไขทีไ่ ม่เป็นจริง ( Present Unreal )
5

If + Past Simple Tense + Subj. + would + V1


สำาหรับแบบนีน
้ ะครับ จะใช้ถึงเหตุการณ์สมมุติทีไ่ ม่มีทางเป็นไปได้ ก็เพ้อฝั นจินตนาการไปเรือ
่ ยเปื่ อยล่ะ
ครับ ฮ่าๆๆๆ

If I were a millionnaire, I would travel around the world.


ถ้าอัว
๊ ะได้เป็นเศรษฐีเงินล้าน อัว
๊ ะจะเทีย
่ วรอบโลก

( ความจริงแล้ว อัว
๊ ะคงจะไม่มีบุญได้เป็นหรอกว่ะ แค่ฝันไปลมๆ แล้งๆ เท่านัน
้ แหละ )
If I were a bird, I would be very happy.
ถ้าฉันได้เป็นนก ฉันคงจะดีใจไม่น้อยทีเดียว

( ความจริงแล้ว คนจะกลายเป็นนกได้ยังไงล่ะ ไม่จริงหรอก )


แบบที ่ 3 การใช้เงือ
่ นไขทีไ่ ม่เป็นจริงในอดีต ( Past Unreal )
If + Past Perfect Tense + Subj. + would have + V3
ส่วนแบบนีน
้ ะครับก็เป็นการสมมุติเหตุการณ์ทีไ่ ด้เกิดขึน
้ แต่อดีตกาลนานนมแล้ว ผ้้พด
้ ก็ทราบดีนะครับว่า
เหตุการณ์ทีเ่ กิดขึน
้ จริงๆ
เป็นยังไง แต่ก็นำามาพ้ดสมมุติใหม่ ในทางตรงกันข้ามไงล่ะครับ

If you had stayed home, you would have seen him.


ถ้าเธออย่้บ้านตอนนัน
้ เธอคงจะเจอเขาแล้วแหละ

( ความจริงทีเ่ กิดขึน
้ ก็คือ เธอออกไปข้างนอก ก็เลยไม่ได้เจอเขา )
If Pim had not gone out, she would not have got wet.
ถ้าพิมไม่ออกไปข้างนอก หล่อนก็คงจะไม่เปี ยกหรอกนะ

( ความจริงก็คือ เธอได้ออกข้างนอก แล้วเธอก็กลับมาอย่างล้กหมาตกนำา


้ )
นอกจากนีน
้ ะครับ จริงๆ แล้วบางทีก
่ ็อาจจะเพิม
่ If-Clause แบบนีไ้ ปอีก นัน
่ ก็คือ If-Clause ที ่

ใช้กับเหตุการณ์ทีเ่ ป็นความจริงเสมอ

( Real Condition ) ร้ปแบบก็จะแบบ If + Present Simple Tense +


Present Simple Tense ยกตัวอย่างเช่น
6

If there is no water, we absolutely die.


ถ้าหากปราศจากนำา
้ แล้ว พวกเราก็จะต้องตายอย่างแน่นอน

( เป็นความจริงใช่ไหมล่ะครับ รึใครจะเถียง ? อิอิอิ )

บทที ่ ๒

Question Tag
Question Tag นะครับ ก็คือ " การตัง้ คำาถามท้ายประโยคบอกเล่าหรือประโยคปฏิเสธ " ประโยค

คำาถามแบบนีน
้ ะครับ
ส่วนใหญ่มักจะใช้ในการสนทนามากกว่าทีจ
่ ะใช้ในภาษาเขียนครับ ซึง่ ก็จะมีหลักการตัง้ ประโยคคำาถาม
แบบนีง้ ่ายๆ ก็คอ

1. ถ้าประโยคข้างหน้าเป็นประโยคบอกเล่า Question Tag จะต้องเป็นปฏิเสธ

2. ถ้าประโยคข้างหน้าเป็นประโยคปฎิเสธ Question Tag จะต้องเป็นบอกเล่า

3. ต้องใส่เครือ
่ งหมาย Comma คัน
่ ระหว่างประโยคหลักกับ Question Tag เสมอ

4. ตัว Question Tag ต้องเป็นกริยาช่วยเสมอครับ

5. หากไม่มีกริยาช่วยในประโยคหลัก ให้ใช้ Verb to do มาช่วย

6. กริยาช่วยตรง Question Tag ต้องใช้ร้ปย่อเสมอ และไม่มีร้ป amn't I ให้ใช้ aren't I


แทน

7. กริยาช่วยเหล่านัน
้ จะต้องเปลีย
่ นไปตาม Tense ทีป
่ ระโยคหลักนะครับ

จะยกตัวอย่างประโยคคำาถาม Question Tag ให้ดน


้ ะครับ

I am a student, aren't I?
ฉันเป็นนักเรียนใช่ไหมเนีย
่ ????
( ประโยคนีต
้ ัง้ ให้เห็นเฉยๆ ครับ ว่าอย่าใช้ amn't I ให้ใช้ aren't I แทน แต่ความหมายอย่าไป

ใส่ใจเลยครับ

เพราะคงจะไม่มีใครมาบ้าถามตัวเองแบบนี ้ )
7

Cathy won't go shopping with us tomorrow, will she?


เคทีจ
่ ะไม่ไปช้อปปิ ้ งกับพวกเราพรุ่งนีใ้ ช่ไหม ?( กริยาช่วย คือ will )
He need not study French, need he?
เขาไม่จำาเป็นต้องเรียนภาษาฝรัง่ เศสใช่ไหม ?
( ด้ให้ดีๆ นะครับ กริยา need ในทีน
่ ีท
้ ำาหน้าทีเ่ ป็นกริยาช่วย เพราะฉะนัน
้ อย่าใช้ Verb to do
มาช่วยเด็ดขาด อ้อ ...คำาว่า dare และก็ Verb to have ด้วยนะครับ ต้องด้ซักหน่อยว่า ตอน

ไหนมันเป็นกริยาช่วย ตอนไหนมันเป็นกริยาแท้ )
Peter ate my apple, didn't he?
ปี เตอร์กินแอปเปิ ้ ลของฉันใช่ไหม ?
( ประโยคหลักเป็น Past Simple Tense และไม่มีกริยาช่วย เพราะฉะนัน
้ ต้องเอา Verb
to do มาช่วยและทำาให้เป็นร้ป Past ด้วยนะครับ )

Question Tag ในประโยคคำาสัง่

Question Tag ในประโยคคำาสัง่ ขอร้อง เชือ


้ เชิญ เราสามารถทำาตรง Question Tag ได้

โดยเติม คำาว่า will you ไปเลยครับ

ประโยคข้างหน้าจะเป็นบอกเล่าปฏิเสธ หรือเป็น Tense ไหนก็ไม่ต้องไปสนใจ แต่ต้องแน่ใจนา ว่ามัน

เป็นประโยคกลุ่มนีจ
้ ริงๆ

Stop speaking loudly, will you?


หยุดแหกปากซักทีได้ไหม ?
Open those windows for me, will you?
ช่วยเปิ ดหน้าต่างให้ฉันหน่อยได้ไหม ?
8

ข้อควรจำาในการทำา Question Tag


1. ถ้าประโยคข้างหน้าขึน
้ ต้นด้วย That is, This is ส่วน Question Tag ให้ใช้ isn't
it? หรือ is it
2. ถ้าประโยคข้างหน้าขึน
้ ต้นด้วย There is, There are, There was, There
were ส่วน Question Tag ให้ใช้ Verb to be
ร้ปนัน
้ ๆ ตามประธานและ Tense + there เช่น

There is a computer at your house, isn't there?


บ้านของเธอมีเครือ
่ งคอมพิวเตอร์ใช่ไหม ?
3. ถ้าประโยคข้างหน้าขึน
้ ต้นด้วย These are, Those are ส่วน Question Tag ให้ใช้

aren't they หรือ are they


แล้วแต่กรณี

4. ถ้าประโยคข้างหน้าเป็นประโยคความซ้อน ส่วน Question Tag ให้ถอ


ื เอากริยาในประโยค

Main Clause เป็นหลักนะจ๊ะ เช่น

Chirstina told us she could come, didn't she?


คริสตินาบอกพวกเราว่า หล่อนจะมาได้ใช่ไหม ?
( สังเกตว่ามีคำากริยาคือ told เพราะฉะนัน
้ ก็ต้องใช้ Verb to do ในร้ปอดีตมาช่วยนะครับ )
5. ถ้าประโยคข้างหน้ามีคำาทีใ่ ห้ความหมายเชิงปฏิเสธ เช่น seldom, hardly, scarcely,
rarely, never, few, little, neither, none, nobody, nothing คำาเหล่านีน
้ ะ

ครับ มีความหมายในทางปฏิเสธอย่้ในตัวของมันเองแล้ว ดังนัน


้ ในส่วนของ Question Tag นัน
้ จะ

ต้องทำาในร้ปบอกเล่าครับ เช่น
9

Nothing is interesting, is it?


ไม่มีอะไรน่าสนใจใช่ไหม ?
ท่านสามารถอ่านบทเรียนก่อนหน้านีไ้ ด้ที ่ ดรรชนี ( Index ) ได้นะคร้าบ

คำาถามอุ่นเครือ
่ ง ( Warm-up Question )
ในครัง้ ต่อไป ผมจะเริม
่ พ้ดเรือ
่ งของ Tense แล้วนะครับ ก็เลยมีคำาถามจะมาถามท่านผ้้อ่านทีเ่ คารพทัง้

หลายครับว่า ท่านทราบหรือไม่ว่า Tense ในภาษาอังกฤษนัน


้ มีทัง้ หมดเท่าไรเอ่ย ???? ไม่มีชิงโชค

หรอกนะครับ ( ฮา ) เมล์มาบอกผมก็ได้ครับ ว่ามีอะไรบ้าง จะสอบถามก็ได้นะครับ เพราะผมว่าเรือ


่ ง

Tense นีค
่ งต้องคุยกันอีกนานครับ อ้อ .....หากจะเรียนเรือ่ ง Tense นีน
่ ะครับ ท่านควรจะสามารถ

ผันกริยาทัง้ 3 ช่องได้อย่างคล่องแคล่วแล้วนะครับ โดยเฉพาะกริยากลุ่มทีม


่ ีการผันแบบเฉพาะ

( Irregular Verbs ) ซึง่ มีเป็นจำานวนเยอะพอสมควรทีเดียวครับผมคงจะไม่สามารถเอามาลงได้

ทัง้ หมดหรอกนะ ( แต่ถ้าท่านผ้้อ่านเรียกร้องมากๆ ก็ไม่แน่ครับ อิออ


ิ ิ ) ผมแนะว่า หากท่านยังผันกริยา

ไม่ค่อยคล่องนัก กรุณาลองซือ
้ หนังสือตารางผันกริยา 3 ช่องมาอ่านด้ก็ได้ครับ เล่มละไม่กีบ
่ าทเองครับ

หรือจะลองไปเปิ ดภาคผนวกของพจนานุกรมภาษาอังกฤษบางเล่มก็จะมีครับ เน้นให้จำาเฉพาะกลุ่ม

Irregular Verbs ก็เพียงพอแล้วครับ ส่วนทีเ่ หลือก็คอ


ื เติมตัวลงท้าย ( Suffix ) -ed หมด

เลยครับ

บทที ่ ๓

TENSES (1) : Present Simple Tense


ทำาความเข้าใจก่อน

Tense ในภาษาอังกฤษนัน
้ มีทัง้ หมด 12 Tenses ด้วยกันนะครับ สามารถแบ่งเป็น 4 กล่ม

ใหญ่ๆ คือ

_______ Simple Tense _______ ธรรมดา

_______ Continuous Tense _______ กำาลังกระทำา

_______ Perfect Tense _______ สมบ้รณ์


10

_______ Perfect Continuous Tense _______ สมบ้รณ์กำาลังกระทำา

ช่องว่างทีเ่ ว้นไว้นัน
้ ก็ให้ท่านเติม Present, Past, หรือ Future ลงไปครับ ( ,
ปัจจุบัน อดีต ,
หรืออนาคต )
4x3 ทัง้ หมดก็เป็น 12 Tenses พอดีครับ ไม่ขาดไม่เกิน ส่วนเรือ
่ งโครงสร้าง ผมจะทยอยพ้ดไป

เรือ
่ ยๆ นะครับ

Present Simple Tense


Subject + Verb 1 + (Object)
1. ใช้กับเหตุการณ์ทีเ่ ป็นจริงเสมอ หรือเหตุการณ์ทีเ่ ป็นไปตามธรรมชาติ เช่น

The sun rises in the east and sets in the west.


พระอาทิตย์ขึน
้ ทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก

The cat has four legs.


แมวมีสีข
่ า

2. ใช้แสดงถึงการกระทำาทีเ่ ป็นปรกตินิสัย ( Habitual Fact ) หรือการกระทำานัน


้ เกิดขึน
้ เป็น

ประจำา ( Repeated Action ) ซึง่ มักจะมี Adverb of Frequency แสดงอย่ด


้ ้วย เช่น

always, sometimes, often, everyday, every week, usually,


generally, frequently เป็นต้น

I have my breakfast at seven o'clock everyday.


ผมรับประทานอาหารเช้าเวลา 7 นาฬิกาทุกวัน

Everybody wears thick clothes in winter.


ทุกๆ คนสวมเสือ
้ หนาๆ ในฤด้หนาว

We go to temple every Sunday morning.


พวกเราไปวัดทุกๆ เช้าวันอาทิตย์

3. ใช้แสดงถึงการกระทำาทีเ่ กิดขึน
้ ในปัจจุบัน หรือสภาพทีเ่ ป็นปัจจุบัน เช่น

She understands what you say.


เธอเข้าใจทีค
่ ุณพ้ด
11

I have four notebooks in the suitcase.


ฉันมีสมุด 4 เล่มอย่้ในกระเป๋ า

4. ใช้แสดงถึงการกระทำาในอนาคต ซึง่ ตัดสินใจแน่นอนแล้วว่าจะปฏิบัติ

The next semester begins in two weeks.


อีก 2 อาทิตย์จึงจะเปิ ดเทอมหน้า

He sets sail on Saturday for Samui.


เขาจะออกเรือไปสมุยในวันเสาร์
หมายเหตุ

อย่าลืมนะครับว่าถ้าประธานเป็นเอกพจน์ บุรุษที ่ 3 คือ He, She, It กริยาทีใ่ ช้ต้องเติม s เสมอ

ห้ามลืมกฎข้อนีเ้ ด็ดขาดนะครับ !!! พวกเรามักจะลืมบ่อยๆ เสมอ ก็อย่างว่านะครับ ภาษาไทยของเราไม่มี

การผันกริยาใดทัง้ สิน
้ เลยไม่คอ
่ ยจะคุ้นเคย หลงๆ ลืมๆ ไปบ้าง แต่อย่าลืมบ่อยนะครับ ^o^

บทที ่ ๔

TENSES (2) : Present Continuous Tense


Subject + is, am, are + Verb -ing + ( Object )

1. ใช้เมือ
่ การกระทำานัน
้ กำาลังดำาเนินอย่้ในปัจจุบัน ( ขณะทีพ
่ ้ด ) และยังทำาต่อ

เนือ
่ งมาจนถึงบัดนัน

และจบลงในอนาคต เช่น

My uncle is listening to the radio.


ลุงของผมกำาลังฟั งวิทยุ
12

What is he doing?
เขากำาลังทำาอะไรเหรอ ?
2. แสดงถึงการกระทำาทีเ่ กิดขึน
้ ซึง่ จำาเป็นจะต้องเกิดขึน
้ ขณะทีก
่ ล่าวนัน
้ จริงๆ เช่น

More and more people are using Internet.


ผ้้คนเริม
่ เล่นอินเทอร์เน็ตมากๆ ขึน
้ ทุกทีทุกที

Accidents are happening more and more frequently.


อุบัติเหตุเกิดขึน
้ มากและบ่อยขึน

3. ใช้แสดงเหตุการณ์ในอนาคต ซึง่ แน่ใจว่าจะเกิดขึน


้ ได้อย่างแน่นอน เช่น

We are planning to go to the beach next week.


พวกเราวางแผนจะไปเทีย
่ วทะเลอาทิตย์หน้า

She is going abroad next Tuesday.


หล่อนจะไปต่างประเทศวันอังคารหน้า

4. ถ้าประโยค Present Continuous Tense เชือ


่ มด้วย and ( กรณีเป็น 2 ประโยค )
ให้ตัดกริยา Verb to be ทีอ
่ ย่้ข้างหลัง and ออกเสีย เช่น

My father is smoking a cigarette and watching television.


คุณพ่อของฉันกำาลังส้บบุหรีแ
่ ละด้โทรทัศน์

กริยาทีน
่ ำามาแต่งเป็น Continuous Tense ( ทุกชนิด ) ไม่ได้ !!!
กริยาจำาพวกนีน
้ ะครับ กรุณาเอามาแต่งเฉพาะใน Simple Tense เท่านัน
้ นะครับ

.
๑ กริยาทีเ่ กีย
่ วกับประสาทสัมผัสทัง้ ห้า เช่น see, smell, feel, hear, taste, etc. เช่น

I see the beautiful mountain.


ฉันด้ภ้เขาอันงดงาม
13

ไม่ใช้ : I am seeing the beautiful mountain. ( กรุณาอย่าคิดแบบภาษาไทยนะ

ครับ ไม่เหมือนกันครับ )
.
๒ กริยาทีแ
่ สดงถึงภาวะของจิต ( State of Mind ), แสดงความร้้สึก ( Feeling ), ความ

ผ้กพัน ( Relationship )
ไม่นิยมนำามาแต่งใน Continuous Tense เช่น

know, understand, love, hate, seem, like, disagree, notice,


remember, dislike, prefer, distrust,
possess, own, differ, deserve, consist of, doubt, suppose, mean,
contain, refuse, depend,
appear, wish, have, detest, trust, recall, forget, consider, agree,
belong, believe, etc.
I know him very well
ผมร้้จักเขาดี

อย่าใช้ : I am knowing him very well.


He believes that taxes are too high.
เขาเชือ
่ ว่าภาษีแพงเกินไป

อย่าใช้ : He is believing that taxes are too high.

หลักการเติม -ing
14

(1). กริยาทีล
่ งท้ายด้วย e ให้ตัด e ทิง้ เสียก่อน แล้วจึงเติม -ing เช่น

write => writing, move => moving, live => living


tremble => trembling, argue => arguing, take => taking
(2). กริยาทีล
่ งท้ายด้วย ee ให้เติม -ing ได้เลย ไม่มีการตัดอะไรทัง้ สิน
้ เช่น

see => seeing, agree => agreeing, free => freeing


(3). กริยาทีล
่ งท้ายด้วย ie ให้เปลีย
่ นเป็น y ก่อน แล้วถึงจะเติม -ing เช่น

die => dying, lie => lying, tie => tying


[ หมายเหตุ : ski => skiing ]
(4). กริยาทีม
่ ีสระตัวเดียว ตัวสะกดตัวเดียว และเป็นพยางค์เดียว ให้เพิม
่ ตัวสะกดเข้ามาอีกตัวหนึง่ เสีย

ก่อน

แล้วจึงเติม -ing เช่น stop => stopping, run => running, sit => sitting,
get => getting, dig => digging
(5). กริยาทีม
่ ี 2 พยางค์ซึง่ ออกเสียงหนัก ( Stress ) ทีพ
่ ยางค์หลัง และพยางค์หลังมีสระตัวเดียว

ตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิม
่ ตัวสะกดเข้ามาอีกตัวหนึง่ เสียก่อน แล้วจึงเติม -ing เช่น

occur => occurring, begin => beginning, refer => referring, offer
=> offerring
(6). กริยา 2 พยางค์ต่อไปนี ้ จะเพิม
่ ตัวสะกดเข้ามาแล้วเติม -ing หรือไม่ก็ได้

[ แบบอเมริกัน ] : travel => traveling, quarrel => quarreling


[ แบบอังกฤษ ] : travel => travelling, quarrel => quarrelling

บทที ่ ๕

TENSES (3) : Past Simple Tense


15

Subject + Verb ( Past Form ) + ( Object )


1. ใช้แสดงเมือ
่ เหตุการณ์ทีเ่ กิดขึน
้ ในอดีต และสิน
้ สุดลงไปแล้ว มักจะมี Adverb บอกเวลาในอดีต

กำากับด้วย เช่น yesterday, once, ago, formerly, last night, last year,
last month, etc. เช่น

She saw you yesterday.


หล่อนเห็นคุณเมือ
่ วานนี ้

I went to Berline last year.


ผมไปเบอร์ลินเมือ
่ ปี ทีแ
่ ล้ว

My mother went out four hours ago.


พ่อของฉันออกไปข้างนอก 4 ชัว
่ โมงแล้ว

2. ใช้เมือ
่ แสดงเหตุการณ์หนึง่ กระทำาเป็นประจำาในอดีต แต่บัดนีไ้ ม่ได้เป็นเช่นนัน
้ อีกต่อไปแล้ว เช่น

When he was young, he was very clever.


เมือ
่ ตอนเขายังเด็ก เขาเป็นคนทีฉ
่ ลาดมากๆ

I used to get up early in the morning.


ฉันเคยตืน
่ นอนตอนเช้าตร่้ ( ปัจจุบันไม่ได้ตืน
่ เช้าแล้ว )
3. ใช้กับเหตุการณ์ทีเ่ กิดขึน
้ ในชัว
่ ระยะเวลาหนึง่ ในอดีต และระยะเวลานัน
้ ได้ล่วงเลยมาแล้ว เช่น

They lived there during last spring.


พวกเขาอาศัยอย่้ทีน
่ น
ั ่ ในช่วงฤด้ใบไม้ผลิทีแ
่ ล้ว

I heard the blacksmith working all day long.


ฉันได้ยน
ิ ช่างตีเหล็กทำางานตลอดทัง้ วัน

4. ใช้แสดงถึงการสมมุติหรือข้อแม้ ในปัจจุบันหรือในอนาคต ซึง่ จะตามหลังคำาว่า If, Unless,


Wish เช่น
16

If I were you I would love her.


ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะรักเธอ

I wish you would love me one day.


ฉันหวังว่าเธอจะรักฉันซักวันหนึง่

บทที ่ ๖

TENSES (4) : Present Perfect Tense


Subject + Verb to have + past participle

วิธีใช้

1. แสดงถึงการกระทำาทีเ่ กิดขึน
้ ในอดีต และดำาเนินเรือ
่ ยมาจนถึงปัจจุบันในขณะทีพ
่ ้ดอย่้ เช่น

Her family have lived in Chiang Mai since 1979.


ครอบครัวของเธออาศัยอย่้ในเชียงใหม่ตัง้ ปี ค ศ . . 1979
I have studied English for ten years.
ฉันเรียนภาษาอังกฤษมาเป็นเวลา 10 ปี แล้ว

2. ใช้กับเหตุการณ์ทีเ่ พิง่ สิน


้ สุดลงใหม่ๆ มักจะมีคำาว่า just, already, yet เช่น

I have already finished my homework.


ผมเพิง่ ทำาการบ้านของผมเสร็จ

He has not read that book yet.


เขายังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนัน
้ เลย
17

3. ใช้กับเหตุการณ์ทีเ่ กิดขึน
้ ในอดีต และสิน
้ สุดลงไปแล้ว แต่ผลของเหตุการณ์ก็ยังคงมีมาจนถึง

ปัจจุบันในขณะทีพ
่ ้ด เช่น

I have read them before.


ฉันเคยอ่านเรือ
่ งนีม
้ าก่อน

The servant has cooked her dinner.


คนรับใช้ทำาอาหารมือ
้ เย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว

4. ใช้แสดงถึงการกระทำาซึง่ เริม
่ ต้น และสิน
้ สุดลงในอดีต แต่ยังอาจจะเกิดขึน
้ ได้อีก มักจะมี Adverb
of Frequency อย่ด
้ ้วย

เช่น sometimes, once, twice, many times, several times, ever,


never ตัวอย่างเช่น

I have visited Los Angeles twice.


ผมไปเทีย
่ วลอสแองเจลลิสมา 2 ครัง้ แล้ว

This is all of the best books I have ever read.


หนังสือเล่มนีเ้ ป็นหนังสือเล่มทีด
่ ท
ี ีส
่ ุดเท่าทีฉ
่ ันเคยอ่านมา

หลักการใช้ Since และ For ผิดพลาด! ชือ


่ แฟ้มไม่ได้ระบุ

" Since " '


แปลว่า ตัง้ แต่ ' ใช้กับเวลาอันเป็นจุดเริม
่ ต้นของเหตุการณ์นัน
้ ในอดีต จะเป็น Since
+ เวลาทีเ่ ริม
่ ต้น

เช่น since yesterday, since 1979, since the Cold War, since
Monday, since last week เป็ นต้น

นอกจากนี ้ Since อาจจะบวกกับประโยคทีเ่ ป็น Past Simple Tense ได้ด้วย ร้ปแบบจะเป็น

Present Perfect Tense + since + Past Simple Tense เช่น


18

since his father died, since I was born, since she quit her work
เป็นต้น

" For " '


แปลว่า เป็นเวลา ' ใช้กับจำานวนเวลานับตัง้ แต่เกิดเหตุการณ์มาจนถึงขณะทีพ
่ ้ด For ใช้

บอกความยาวของเวลา

ตัง้ แต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันว่าเป็นเวลานานเท่าไร เพราะฉะนัน


้ For + ระยะเวลา ยกตัวอย่างเช่น

for two days, for six hours, for three years, for a long time, for a
few minutes เป็นต้น

หลักการใช้ Yet, Just, และ Already


" Yet " แปลว่า ยัง' ' จะใช้ในประโยคปฏิเสธเสมอครับผม และนิยมวางไว้ท้ายสุดของประโยค เช่น

I have not watched that movie yet.


" Just " '
แปลว่า เพิง่ จะ ' ส่วน " Already " '
แปลว่า เรียบร้อยแล้ว ' จะใช้ในประโยคบอกเล่า

ครับ และจะ

วางไว้หน้ากริยาหลัก ( Main Verb ) เสมอ เช่น

He has just gone to work.


I have already closed the window.
อย่าลืมนะครับ !!! ท่านต้องแม่นในการผันกริยาช่องที ่ 3 คือ Past Participle เมือ
่ ต้องใช้

Perfect Tense
ทัง้ แบบ Regular Verbs หรือ Irregular Verbs ครับผม !!! (O'_'O)

บทที ่ ๗

Tenses (5) : Future Simple Tense


วิธีใช้
19

1. ใช้เพือ
่ แสดงถึงการกระทำาหรือสภาพในอนาคต เช่น

He will travel to Singapore next year.


เขาจะไปเทีย
่ วสิงคโปร์ปีหน้า

The plane will leave the airport in a few minutes.


เครือ
่ งบินจะออกจากท่าอากาศยานในอีก 2-3 นาทีข้างหน้า

การใช้ (be) going to แทน will หรือ shall


1. ใช้ (be) going to + V1 เพือ
่ แสดงความตัง้ ใจ ( Intention ) แทน will และ shall
ได้ เช่น

She is going to buy a car next month.


หล่อน ( ตัง้ ใจ ) จะซือ
้ รถยนต์เดือนหน้า

We are going to visit our grandfather tomorrow.


พวกเรา ( ตัง้ ใจ ) จะไปเยีย
่ มคุณป่ ้ในวันพรุ่งนี ้

2. ใช้ (be) going to + V1 เพือ


่ แสดงการคาดคะเน ( Suggestion ) แทน will และ

shall ได้ เช่น

I think it is going to rain.


ฉันคิดว่าฝนจะต้องตก ( อย่างแน่นอน )
3. ใช้ (be) going to + V1 เพือ
่ แสดงข้อความซึง่ เชือ
่ ว่าจะเป็นจริงเช่นนัน
้ โดยปราศจากข้อ

สงสัยแทน will และ shall ได้ เช่น

His wife is going to have a baby.


ภรรยาของเขาจะมีล้กแล้ว

ห้ามใช้ (be) going to + V1 ในกรณีต่อไปนี ้


20

1. เหตุการณ์ทีเ่ ป็นอนาคตอันแท้จริง ( Exact Futurity ) ซึง่ จะต้องเกิดขึน


้ ตามธรรมชาติ

อย่างหลีกเลีย
่ งไม่ได้ เช่น

I will be twenty-one next year.


ผมจะมีอายุ 21 ในปี หน้า

( ห้ามใช้ : I am going to be twenty-one next year. )


Today is the 3rd; tomorrow will be the 4th.
วันนีเ้ ป็นวันที ่ 3 พรุ่งนีจ
้ ะเป็นวันที ่ 4
( ห้ามใช้ : Today is the 3rd; tomorrow is going to be the 4th. )
2. ห้ามใช้ (be) going to + V1 ในประโยคเงือ
่ นไขทีเ่ ชือ
่ มด้วย If ใช้ได้เฉพาะ will และ

shall เท่านัน

John will be successful if he tries hard.


จอห์นจะประสบความสำาเร็จถ้าเขาพยายามอย่างจริงจัง

( ห้ามใช้ : John is going to be successful if he tries hard. )


They will be on time if they hurry.
พวกเขาจะทันเวลาถ้าพวกเขารีบหน่อย

( ห้ามใช้ : They are going to be on time if they hurry. )


3. ห้ามใช้ (be) going to + V1 กับกริยาทีแ
่ สดงการรับร้้ เช่น understand, forget,
like, remember, love, know, etc.
I will remember this experience forever.
ผมจะจำาประสบการณ์นีต
้ ลอดไป

( ห้ามใช้ : I am going to remember this experience forever. )


He will like it if he sees.
เขาคงจะชอบถ้าเขาเห็น

( ห้ามใช้ : He is going to like it if he sees. )


21

บทที ่ ๘

Singular and Plural

หลักการเปลีย
่ น

1. คำานามโดยทัว
่ ไปเมือ
่ เปลีย
่ นจากเอกพจน์เป็นพห้พจน์มักจะเติม "s" ลงทีท
่ ้ายคำานัน
้ เช่น

cup -----> cups ( ถ้วย ) book -----> books ( หนังสือ ) elephant ----->
elephants ( ช้าง )
lamp -----> lamps ( โคมไฟ ) house -----> houses ( บ้าน ) car ----->
cars ( รถยนต์ )
2. คำาเอกพจน์ทีล
่ งท้ายด้วย s, x, z, ch หรือ sh เมือ
่ เปลีย
่ นเป็นร้ปพห้พจน์จะต้องเติม es เช่น

kiss -----> kisses ( จ้บ ) box -----> boxes ( กล่อง ) watch ----->
watches ( นาฬิกา )
brush -----> brushes ( แปรง ) topaz -----> topazes ( บุษราคัม )
ยกเว้น : monarch -----> monarchs ( กษัตริย์ ) เพราะว่าพยัญชนะ ch ออกเสียงเป็น

/ค/ / /
ไม่ใช่ ช ครับ
22

3. คำาเอกพจน์ทีล
่ งท้ายด้วย o และหน้า o เป็นพยัญชนะ ให้เติม es เช่น

motto -----> mottoes ( คติพจน์ ) potato -----> potatoes ( มัน ) mango


----> mangoes ( มะม่วง )
ยกเว้น : คำาเหล่านีเ้ ติม s เมือ
่ ทำาเป็นพห้พจน์ bamboo -----> bamboos ( ไม้ไผ่ )
radio ----->radios (วิทยุ )
kilo -----> kilos ( กิโลชัง่ ขายของ ) piano -----> pianos ( เปี ยโน ) kangaroo
-----> kangaroos ( จิงโจ้ )
dynamo -----> dynamos ( ไดนาโม ) photo -----> photos ( ร้ปถ่าย )
memo -----> memos ( บันทึก )
zero -----> zeros ( เลขศ้นย์ ) zoo ------> zoos ( สวนสัตว์ ) banjo ----->
banjos ( เครือ
่ งดนตรีชนิดหนึง่ )
embryo -----> embryos ( เด็กในท้อง ) casino ------> casinos ( บ่อนการ

พนัน ) solo ------> solos(โซโล )


Eskimo -----> Eskimos ( ชนเผ่าเอสกิโม ) studio -----> studio ( สต้ดโิ อ )
ฯลฯ

หมายเหตุ : คำาเหล่านีจ
้ ะเลือกเติม s หรือ es ก็ได้ เมือ
่ ต้องการทำาเป็นพห้พจน์ ได้แก่ buffalo (
ควาย ), cargo ( สินค้า ), calico ( ผ้าเนือ
้ หยาบ ), domino ( โดมีโน ), grotto (
ถำา
้ ), halo ( แสงเป็นวงกลม ), lasso ( เชือกบ่วงบาศ ), mosquito ( ยุง ), portico
( หลังคาทางเดิน ), proviso ( ข้อแม้ ), volcano ( ภ้เขาไฟ )
4. คำานามทีล
่ งท้ายด้วย y แล้วหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลีย
่ น y เป็น i แล้วเติม es เช่น

lady -----> ladies ( สุภาพสตรี ) country -----> contries ( ประเทศ ) city


-----> cities ( เมือง )
23

5. คำานามทีล
่ งท้ายด้วย y แล้วหน้า y เป็นสระ ให้เติม s ได้เลย เช่น

donkey ------> donkeys ( ลา ) boy -----> boys ( เด็กชาย ) day ----->


days ( วัน )
monkey -----> monkeys ( ลิง ) key -----> keys ( ล้กกุญแจ ) ray ----->
rays ( รังสี )
6. คำานามทีล
่ งท้ายด้วย f หรือ fe ให้เปลีย
่ น f หรือ fe เป็น v แล้วเติม es เช่น

wife -----> wives ( ภรรยา ) life -----> lives ( ชีวิต ) knife ------> knives
( มีด )
wolf -----> wolves ( หมาป่ า ) calf -----> calves ( ล้กวัว ) shelf ----->
shelves ( หิง้ )
หมายเหตุ ๑ ). คำาต่อไปนีส
้ ามารถเติม s หรือจะใช้ -ves ก็ได้ คือ scarf ( ผ้าพันคอ ), wharf
( ท่าเรือ )
๒ ). คำาต่อไปนีใ้ ห้เติมด้วย s ไปเลย ได้แก่ reef ( หินโสโครก ), grief ( ความเศร้าโศก ), gulf
( อ่าว ),
dwarf ( คนแคระ ), turf ( พืน
้ หญ้า ), chief ( หัวหน้า ), roof ( หลังคา ), hoof (
กีบเท้าสัตว์ ),
cliff ( หน้าผา ), proof ( หลักฐาน ), strife ( การวิวาท ), safe ( ต้้นิรภัย ), fife (
ขลุ่ย )
handkerchief ( ผ้าเช็ดหน้า )
24

7. นามบางคำาจะเปลีย
่ นร้ปไปจากเดิมเมือ
่ เป็นพห้พจน์ ซึง่ จะต้องใช้การ

จดจำา เช่น

man -----> men ( ผ้้ชาย ) woman -----> women ( ผ้้หญิง ) foot ----->
feet ( ฟุต )
mouse ------> mice ( หน้ ) louse -----> lice ( เหา ) child ----->
children ( เด็ก )
goose -----> geese ( ห่าน ) tooth -----> teeth ( ฟั น ) ox -----> oxen (
วัวตัวผ้้ )
8. คำานามบางคำามีร้ปเอกพจน์เหมือนกับร้ปพห้พจน์ เช่น

sheep ( แกะ ), deer ( กวาง ), salmon ( ปลาแซลมอน ), grouse ( ไก่ป่า ),


cod ( ปลาค็อด ),
fish ( ปลา ), bison ( กระทิง ), swine ( หม้ป่า ), reindeer ( กวางเรนเดียร์ ),
herring ( ปลาเฮอร์ริง )
9. คำาทีม
่ าจากภาษากรีกหรือละติน เมือ
่ เป็นพห้พจน์จะเป็นไปตามกฎของภาษากรีกหรือละติน เช่น

agendum -----> agenda ( หัวข้อการประชุม ) erratum -----> errata ( ผิด )


datum -----> data ( ข้อม้ล )
memorandum -----> memoranda ( บันทึก ) radius -----> radii ( รัศมี )
crisis -----> crises (วิกฤตการณ์ )
phenomenon -----> phenomena ( ปรากฏการณ์ ) oasis -----> oases (
โอเอซิส ) axis -----> axes(แกน )
25

thesis -----> theses ( วิทยานิพนธ์ ) appendix -----> appendices


(ดรรชนี) basis -----> bases(พืน้ ฐาน )
10. คำานามผสมทีม
่ ีบุพบทมาคัน
่ ให้เติม s ทีท
่ ้ายคำาแรก หากต้องการทำาเป็นพห้พจน์ เช่น

sister-in-law -----> sisters-in-law ( พีส ,


่ ะใภ้ น้องสะใภ้ ) passer-by ------>
passers-by ( คนทีเ่ ดินผ่านไปมา )
ผมขอสรุปคร่าวๆ แต่เพียงเท่านีน
้ ะครับ เรือ
่ งเอกพจน์พห้พจน์นีก
้ ็เป็นเรือ
่ งทีย
่ ุ่งยากซับซ้อนกันพอสมควรที
เดียวนะครับ คำาบางคำาอาจจะมีร้ปเสมือนเป็นพห้พจน์ แต่จริงๆ แล้วเป็นเอกพจน์ก็มีนะครับ อย่างเช่น

news เป็นต้นครับ หรือคำาบางคำา ก็ต้องทำาให้เป็นร้ปพห้พจน์อย่้เสมอ อย่างเช่น pants,


glasses, scissors เป็นต้น คำาบางคำาแม้ร้ปเอกพจน์กับพห้พจน์ อาจจะให้ความหมายทีแ
่ ตกต่าง

กันไปเลยครับ ........

บทที ่ ๙

Tenses (6) : Past Continuous Tense


Subject + was, were + V-ing + Object

วิธีใช้

1. ใช้ในเหตุการณ์ทีแ
่ สดงอาการกำาลังกระทำาในอดีต เช่น

They were speaking in the bookstore.


พวกเขากำาลังพ้ดอย่้ในร้านขายหนังสือ

She was going to post office.


หล่อนกำาลังจะไปทีท
่ ำาการไปรษณีย์
26

2. ใช้แสดงถึงการกระทำาทีต
่ ่อเนือ
่ งกันในอดีต เช่น

What were you doing all last summer?


เธอทำาอะไรตลอดฤด้ร้อนทีแ
่ ล้วเหรอ ?
I was enjoying myself at the seaside.
ผมรืน
่ เริงกับการเทีย
่ วทะเล

3. ใช้เมือ
่ มีเหตุการณ์เกิดขึน
้ 2 เหตุการณ์ โดยขณะทีเ่ หตุการณ์อันหนึง่ กำาลังดำาเนินไปอย่้ก่อน และยัง

มีเหตุการณ์ทีส
่ อง ซึง่ เป็นเหตุการณ์สัน
้ ๆ เกิดแทรกเข้ามา โดยมีหลักการแต่งประโยคดังนี ้ คือ

เหตุการณ์ใดทีด
่ ำาเนินอย่้ใช้ Past Continuous Tense
เหตุการณ์ทีเ่ กิดทีหลังใช้ Past Simple Tense เช่น

While he was walking along the road, he saw an accident.


ขณะทีเ่ ขากำาลังเดินไปตามถนนอย่้นัน
้ เขาก็ได้เห็นอุบัติเหตุ

When I returned home, she was playing pingpong.


ตอนทีฉ
่ ันกลับบ้าน เธอกำาลังเล่นปิ งปองอย่้

4. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างทีเ่ กิดขึน


้ หรือดำาเนินอย่้หร้อมกันในเวลาเดียวกันในอดีต ซึง่ จำาเป็นต้องใช้

Past Continuous ทัง้ ค่้ ซึง่ มักจะมีคำาว่า while หรือ as มาเชือ


่ ม เช่น

I was playing while you were studying.


ฉันกำาลังเล่นในขณะทีเ่ ธอกำาลังเรียน

He was listening to the radio as she was cooking.


เขากำาลังฟั งวิทยุในขณะทีห
่ ล่อนกำาลังทำาอาหาร

ผิดพลาด ! ชือ
่ แฟ้มไม่ได้ระบุ

5. ใช้กับเหตุการณ์ทีก
่ ำาลังเกิดขึน
้ หรือดำาเนินอย่้ ณ เวลาจุดใดจุดหนึง่ ในอดีตตามทีร
่ ะบุไว้อย่างชัดเจน

เช่น

They were cleaning the room at eight o'clock yesterday.


พวกเขากำาลังทำาความสะอาดห้องตอน 8 โมงเมือ
่ วานนี ้
27

When I saw him, he was watering in the garden.


ขณะทีผ
่ มเห็นเขา เขากำาลังรดนำา
้ ตันไม้อย่้ในสวน

6. ใช้ในการสมมุติหรือเป็นข้อแม้ หรือการคาดคะเนเพือ
่ แสดงถึงการกระทำาทีต
่ ่อเนือ
่ งกัน เช่น

What would you do if it was raining?


คุณจะทำาอย่างไรถ้าฝนกำาลังตก ?
I wish I were going with you to England.
ฉันคิดว่าฉันกำาลังจะไปอังกฤษกับเธอ

หมายเหตุ : กรุณาลองกลับไปอ่านที ่ บทที ่ 4 Present Continuous Tense เรือ


่ งกริยาที ่

นำามาแต่งเป็น Continuous ( ทุกชนิด ) ไม่ได้ด้วยนะครับ เมือ


่ เป็นการทบทวนแล้วเสริมความ

เข้าใจอีกรอบคร้าบ

บทที ่ ๑๐

Tenses (7) : Present Perfect Continuous Tense


Subject + have/has been + V-ing + Object

วิธีใช้

แสดงถึงการกระทำา หรือสภาพซึง่ เริม


่ ขึน
้ ในอดีตและได้กระทำาต่อเนือ
่ งมาจนถึงปัจจุบัน ( ขณะทีพ
่ ้ด )
และจะคงดำาเนินต่อไปอีกในอนาคต

( นีค
่ อ
ื จุดทีแ
่ ตกต่างจาก Present Perfect Tense ครับ ) มักจะมีคำาว่า since ( from
that time ), ever, until now, for......weeks,for a long time, since
then, since ...... o'clock ยกตัวอย่างเช่น
28

I have been living here for ten years.


ผมได้อย่้อาศัยทีน
่ ีม
่ าเป็นเวลา 10 ปี แล้ว

( ประโยคนีห
้ มายความว่า ผมได้อย่้อาศัยทีน
่ ีม
่ าตัง้ แต่เมือ
่ 10 ปี ทีแ
่ ล้ว จนกระทัง่ มาถึงเวลาทีพ
่ ้ดประโยค

นีก
้ ็ได้อย่้เป็นเวลา 10 ปี และปี ที ่ 11 หรือ 12 หรือต่อไปเรือ
่ ยๆ ก็จะยังคงอย่้ต่อไปอีก แต่ถ้าผ้้พ้ด

กล่าวว่า " I have lived here for ten years. "


ก็หมายความว่าผมได้อย่้อาศัยมาแล้วเป็นเวลา 10 ปี แต่ว่าปี ที ่ 11 หรือต่อๆ ไปจะอย่้ต่อหรือไม่นัน

ไม่อาจทราบได้ครับ )
อย่างไรก็ตาม Tense นีไ้ ม่คอ
่ ยใช้กันบ่อยนัก ส่วนมากนิยมใช้ Present Perfect Tense
กันมากกว่าครับผม

โดยเฉพาะอย่างยิง่ กริยาทีม
่ ีความหมายเป็นการกระทำาทีไ่ ม่นาน ไม่ควรนำามาแต่งด้วย Present
Perfect Continuous Tense
โดยเด็ดขาด กริยาทีส
่ ามารถนำามาแต่งเป็น Present Perfect Continuous Tense นัน

จะต้องคำานึงว่าเป็นกริยาทีส
่ ามารถ

กระทำานานๆ ได้นะคร้าบ เช่น play, teach, study, learn, live, work, stand,
sit, sleep, read, wait, rest เป็นต้น

บทที ่ ๑๑

Tenses (8) : Past Perfect Tense


Subject + had + V3 ( Past Participle ) + Object

วิธีใช้ 1 ). ใช้แสดงถึงการกระทำาทีเ่ สร็จเรียบร้อยแล้ว โดยมีเหตุการณ์ 2


เหตุการณ์เกิดขึน
้ เหตุการณ์ทีเ่ กิดขึน
้ ก่อนจะใช้
29

Past Perfect Tense ส่วนเหตุการณ์ทีเ่ กิดขึน


้ มาภายหลังใช้ Past Simple Tense
ดังตัวอย่าง

When I had done my work, I went home.


เมือ
่ ฉันทำางานเสร็จแล้ว ฉันก็กลับบ้าน

( เหตุการณ์ทีเ่ กิดขึน
้ ก่อนคือ การทำางานทีเ่ สร็จแล้ว และเหตุการณ์ทีเ่ กิดขึน
้ ทีหลังคือ ฉันกลับบ้าน )
I had lost my pen so I was unable to do the exercise.
ฉันทำาปากกาหาย ฉันจึงไม่สามารถทำาแบบฝึ กหัดได้

( เหตุการณ์ทีเ่ กิดขึน
้ ก่อนคือ ฉันทำาปากกาหาย และเหตุการณ์ทีเ่ กิดขึน
้ ภายหลังคือ ฉันไม่สามารถทำา

แบบฝึ กหัดได้ )
2 ). ใช้กับกริยาทีเ่ ป็น Past และ Present Perfect Tense เมือ
่ ต้องการทำา Direct
Speech ให้เป็น Indirect Speech
Direct Speech : " I have finished my work. " she said.
Indirect Speech : She said that she had finished her work
เธอพ้ดว่าเธอได้ทำางานเสร็จเรียบร้อยแล้ว

Direct Speech : " What did you do with the money? ", she asked.

Indirect Speech : He asked me that what I had done with the


money.
เขาได้ถามผมว่าได้นำาเงินไปใช้อะไรบ้าง ?
3 ). ใช้ตามหลัง if, unless, wish, etc. เพือ
่ แสดงการสมมุติทีไ่ ม่เป็นจริงในอดีต ( If-
Clause แบบที ่ 3 : Past Unreal
ด้เพิม
่ เติมได้ที ่ Chapter 1 = If-Clause ( ประโยคเงือ
่ นไข )= ได้นะคร้าบ ) ตัวอย่างเช่น

If you had come in time, my brother could not have died.


ถ้าเธอมาทันเวลาพีช
่ ายของฉันคงไม่ตาย
30

I wish you had told me before I came.


ผมหวังว่าคุณจะบอกผมก่อนทีผ
่ มจะมา

บทที ่ ๑๒

Tenses (9) : Future Perfect Tense


Subject + will + have + V3 ( Past Participle ) + Object

วิธีใช้

1). แสดงถึงการกระทำาซึง่ สำาเร็จเรียบร้อยหรือใกล้ระยะเวลาทีก


่ ำาหนดในอนาคต เช่น

He will have left the house in an hour.


เขาจะออกจากบ้านไปในเวลาอีกหนึง่ ชัว
่ โมงข้างหน้านี ้

I will have finished my dinner before half past eight.


ฉันจะรับประทานอาหาเย็นเสร็จก่อนเวลา 8.30 น.
2). แสดงถึงเหตุการณ์ทีจ
่ ะเกิดขึน
้ ในอนาคต ณ เวลาใดเวลาหนึง่ ตามทีร
่ ะบุไว้อย่างชัดเจน มักจะมีคำาว่า

by tomorrow, by next month,


by the end of June, by dinner time, by next spring, etc. เช่น

I will have finished my homework by dinner time.


ก่อนจะถึงเวลาอาหารเย็น ผมจะทำาการบ้านเสร็จเรียบร้อย

( ขณะทีพ
่ ้ดยังทำาการบ้านไม่เสร็จ แต่เมือ
่ ถึงเวลาอาหารเย็นจะเสร็จอย่างแน่นอน )
They will have moved in a new house by the end of next year.
เมือ
่ สิน
้ ปี หน้า พวกเขาจะได้ย้ายเข้าไปอย่้บ้นหลังใหม่แล้ว

( ขณะทีพ
่ ้ดยังไม่ได้ย้าย ก่อนสิน
้ ปี จะย้ายอย่างแน่นอน )
31

บทที ่ ๑๓

Errors in Tenses (1)


1). มักจะใช้ Tense ปะปนกันภายในหนึง่ ประโยค เช่น

ไม่ใช้ : They asked him to be captain, but he refuses.


ใช้ : They asked him to be captain, but he refused.
พวกเขาขอร้องให้เขาเป็นกัปตัน แต่เขาปฏิเสธ

คำาอธิบาย : ถ้าเริม
่ ต้นด้วยเหตุการณ์ทีเ่ ป็นอดีต ประโยคทีเ่ ชือ
่ มกันต่อไปจะต้องเป็น Past Tense
ทัง้ หมด

2). มักจะลืมเติม "s" กับประธานเอกพจน์ บุรุษที ่ 3


ไม่ใช้ : He walk to school everyday.
ใช้ : He walks to schools everyday.
เขาเดินไปโรงเรียนทุกวัน

คำาอธิบาย : ใน Present Simple Tense กริยาทีใ่ ช้กับประธานเอกพจน์ บุรุษที ่ 3 ( He,


She, It ) จะต้องเติม "s" เสมอ

( ข้อนีเ้ ป็นข้อทีค
่ นไทยมักจะลืมมากทีส
่ ุดครับ !!! )
3). มักใช้ "as if" หรือ "as though" ในร้ปของ Present Tense
ไม่ใช้ : John talks as if/as though he knows everything.
ใช้ : John talks as if/as though he knew everything.
จอห์นพ้ดประหนึง่ ว่าเขาร้้ไปเสียทุกอย่าง

คำาอธิบาย : ถ้ามีวลี "as if" หรือ "as though" ( ประหนึง่ ว่า ) ในประโยค จะต้องตามด้วย

Past Tense เสมอ

ถ้าในกรณีทีก
่ ริยาทีต
่ ามหลังเป็น Verb to Be จะต้องใช้ "were" เสมอ
32

บทที ่ ๑๔

Errors in Tenses (2)


11). มักใช้กริยาเอกพจน์บุรุษที ่ 3 หลังคำา " Does "
11.1 ประโยคคำาถาม

ไม่ใช้ : Does the gardener waters the flowers?


ใช้ : Does the gardener water the flowers?
คนสวนรดนำา
้ ต้นไม้หรือเปล่า ?
11.2 ประโยคปฏิเสธ

ไม่ใช้ : The gardener does not waters the flowers.


ใช้ : The gardener does not water the flowers.
คนสวนไม่ได้รดนำา
้ ต้นไม้

คำาอธิบาย : หลังคำา " Does " จะต้องเป็น Infinitive without to เท่านัน


้ และไม่ใช้กริยา

เอกพจน์บุรุษที ่ 3 เด็ดขาด

และในการตอบคำาถามประโยคทีข
่ ึน
้ ต้นด้วย " Does " จะต้องเป็น Present Tense และใช้

กริยาเอกพจน์

บุรุษที ่ 3 เสมอ เช่น

ถามว่า : Does he like coffee?


ตอบว่า : Yes, he likes coffee.
หรือ : Yes, he does.
12). มักใช้กริยาทีต
่ ามหลังคำาว่า " Did " ในร้ป " Past Tense "
12.1 ประโยคคำาถาม
33

ไม่ใช้ : Did you went to school yesterday?


ใช้ : Did you go to school yesterday?
เมือ
่ วานนีเ้ ธอไปโรงเรียนหรือเปล่า ?
12.2 ประโยคปฏิเสธ

ไม่ใช้ : I did not went to school yesterday.


ใช้ : I did not go to school yesterday.
เมือ
่ วานนีฉ
้ ันไม่ได้ไปโรงเรียน

คำาอธิบาย : กริยาทีต
่ ามหลังคำากริยาช่วย Did นัน
้ จะต้องตามด้วย Infinitive without to
เสมอ

บทที ่ ๑๕

Indirect Speech : Introduction


ข้อแตกต่างระหว่าง Direct กับ Indirect Speech
Direct Speech คือ การนำาเอาคำาพ้ดของคนอืน
่ ทีต
่ ัวเองได้ยินมาเล่าให้ค่้สนทนาโดยตรง เช่น

John said, " He has two sisters. "


จอห์นพ้ดว่า " เขามีพีส
่ าว 2 คน "
คำาว่า He has two sisters เป็นคำาทีห
่ ยิบมาพ้ดโดยตรงและไม่ได้มีการดัดแปลงใดๆ ทัง้ สิน
้ ครับ

สำาหรับ Indirect Speech คือ การนำาเอาคำาพ้ดของคนอืน


่ ทีต
่ ัวเองได้ยินมาเล่าให้ค่้สนทนาฟั งโดย

ดัดแปลงเป็น

คำาพ้ดของผ้้พ้ดอีกครัง้ หนึง่ จากประโยค Direct Speech ข้างต้น สามารถทำาเป็น Indirect


Speech ได้ดังนี ้

John said that he had two sisters.


จอห์นพ้ดว่าเขามีพีส
่ าว 2 คน

ร้ปแบบของ Direct Speech โดยทัว


่ ไป
34

ง่ายๆ เลยนะครับ หากเราจะสร้างประโยค Direct Speech ก็จะต้องบอกว่าใครเป็นคนพ้ด

เช่น he said, they said,


I said, my friend said, her brother said เป็นต้นครับ จะเอาวางไว้ต้นหรือท้าย

ประโยคก็ได้ครับ จากนัน

ตรงประโยคคำาพ้ดจะต้องมีเครือ
่ งหมายอัญประกาศ " _____ " แบบนีด
้ ้วยนะครับ ยกตัวอย่างเช่น

They said, " Linda will go to Bangkok tomorrow. " หรืออาจจะ

" Linda will go to Bangkok tomorrow. ", they said.


โปรดสังเกตด้วยนะครับว่าระหว่างประโยคคำาพ้ดนัน
้ กับผ้้พ้ด จะต้องมีเครือ
่ งหมาย Comma ( , )
คัน
่ ด้วยนะครับ

คราวหน้าผมจะมาเริม
่ พ้ดถึงแต่ Indirect Speech แล้วนะครับ ติดตามอ่านได้นะคร้าบ (o'_'o)

บทที ่ ๑๖

Indirect Speech : หลักการเปลีย


่ น

การเปลีย
่ นประโยค Direct Speech เป็น Indirect Speech นัน
้ หลักสำาคัญคือคุณจะต้อง

เปลีย
่ น

1. เปลีย
่ นสรรพนามบุคคล ( Personal Pronoun )
2. เปลีย
่ น Tense
3. เปลีย
่ นถ้อยคำาทีแ
่ สดงความใกล้ให้เป็นไกล

การเปลีย
่ นสรรพนามบุคคล

DIRECT INDIRECT
I he or she
me him or her
my his or her
35

mine his or hers


myself himself or herself
we they
us them
our their
ours theirs
ourselves themselves
you ( Subject ) I
you ( Object ) me
your my
yours mine
yourself ( -ves ) myself ( ourselves )
การเปลีย
่ น Tense

DIRECT INDIRECT
Present Simple Tense Past Simple Tense
Present Continuous Tense Past Continuous Tense
Present Perfect Tense Past Perfect Tense
Past Simple Past Perfect Tense
will would
shall should
can could
36

may might
must had to
การเปลีย
่ นถ้อยคำาทีแ
่ สดงความใกล้ให้เป็นถ้อยคำาทีแ
่ สดงความไกล

DIRECT INDIRECT
today, tonight that day, that night
yesterday the day before, the previous day
last night/week/month/year the night/week/month/year before
the day before yesterday two days before
the day after two days after, in two days' time
tomorrow the next, the following day
next week/month/year the week/month/year after
thus so
now then, at that time
ago before
come go
this, those that, those
here there

บทที ่ ๑๗

Indirect Speech : ประโยคคำาสัง่ หรือประโยคขอร้อง


37

หลักการเปลีย
่ น Direct Speech ให้เป็น Indirect Speech ในกรณีทีป
่ ระโยค

Direct Speech เป็นประโยคคำาสัง่ หรือประโยคขอร้อง

1. เลือกใช้คำากริยานำา ( Reportig Verb ) ให้เหมาะสม ตามปรกติมักจะใช้คำาเหล่านี ้

ask ( askedขอร้อง ( ให้ทำากระทำา ) โดยปรกติแล้วจะใช้คำานีเ้ มือ


่ ประโยคเดิมมีคำาว่า

) "please"
บอก ( ให้ทำา ...... ) เช่นบอกให้ทำาสิง่ ใดสิง่ หนึง่ คำานีน
้ ย
ิ มใช้มากเพราะเป็นคำา
tell ( told ) กลางๆ ไม่เฉียบขาดเกินไป และไม่อ่อนเกินไป ในกรณีทีห
่ าคำาเหมาะสมไม่ได้ ขอ
แนะนำา ให้ใช้คำานีน
้ ะครับ

warn
( warned ),
เตือน , แนะนำา ( ให้กระทำา ) เช่น แนะนำา ตักเตือนให้กระทำาสิง่ ในสิง่ หนึง่
advise
( advised )
order
สัง่ ( ธรรมดา ) เช่น อาจารย์สัง่ นักศึกษา
( ordered )
command, (
commande สัง่ ( เฉียบขาด ) เช่น ผ้้บังคับบัญชาสัง่ ล้กน้อง

d)
งขอร้อง ( ให้กระทำา ) ใช้เช่นเดียวกับ ask แต่ความหมายของคำาๆ นี ้ จะด้
beg
อ่อนน้อม กว่านะครับ ควรใช้ในกรณีทีป
่ ระโยคเดิมมีคำาสุภาพมากในการขอร้อง เช่น
( begged )
Would you mind ( please ) ...............?
38

2. จะต้องระบุผ้สัง่ ( ขอร้อง ) และผ้้ถ้กสัง่ ( ขอร้อง ) เสมอ

3. สัง่ ให้ทำาอะไร ขอร้องให้ทำาอะไร ให้เติม to หน้ากริยาตัวนัน


้ เลยครับ แต่ถ้ากริยานัน
้ อย่้ในร้ปปฏิเสธ

ให้ใช้ not to แทนครับผม

ตัวอย่างประโยค

Direct : He said to me, " Please open that window. "


Indirect : He asked me to open that window.
Direct : She said to my brother, " Don't shut the door. "
Indirect : She told my brother not to shut the door.
Direct : He said to his friend, " Don't smoke too much. "
Indirect : He warned to his friend not to smoke too much.
Direct : The doctor to me, " Drink water as much as you can. "
Indirect : The doctor advised to me to drink water as much as I
can.
Direct : The teacher said to the students, " Be quiet! "
Indirect : The teacher ordered the students to be quiet.
Direct : The General said to his soldiers, " Be patient! "
Indirect : The General commanded to his soldiers to be patient.
Direct : She said to her boss, " Please sign your name in this
paper. "
Indirect : She begged to her boss to sign his name in this paper.

บทที ่ ๑๘

Indirect Speech : ประโยคคำาถาม

หลักการเปลีย
่ น
39

1. เปลีย
่ นคำากริยานำา ( Reporting Verb ) จาก said ให้เป็น asked, inquired,
หรือ enquired
2. ถ้าประโยคคำาถามใน Direct Speech เป็นประโยคคำาถามแบบต้องตอบด้วย " YES หรือ

NO "
นัน
่ ความหมายว่า ใช้กริยาช่วยขึน
้ ต้นประโยค ( Verb to be, Verb to do, Verb to
have,
Will, Shall, Can, May, etc. ) เมือ
่ ทำาเป็น Indirect Speech ให้เปลีย
่ นกริยาช่วย

เหล่านัน

เป็น if หรือ whether เป็นคำาเชือ


่ มระหว่างประโยคนำากับประโยคตาม

3. ถ้าประโยคคำาถามใน Direct Speech เป็นประโยคคำาถามแบบขึน


้ ต้นด้วย Question
Word นัน
่ คือ

What, Where, When, Why, Who, Which, How ไม่ต้องใส่ if หรือ whether
ให้ใช้ Question Word เหล่านัน
้ มาทำาหน้าทีไ่ ด้เลย

4. ข้อความของ Indirect Question จะต้องทำาให้เป็น ประโยคบอกเล่า เสมอ

5. หลักการเปลีย
่ น Tense ยังคงใช้วิธีการเดิม

ตัวอย่างประโยค

ใช้กริยาช่วยขึน
้ ต้นประโยคใน Direct Speech
Direct : He said to me, " Are you going to Chiang Mai on
Sunday? "
Indirect : He asked me if I was going to Chiang Mai on Sunday.
Direct : She said to me, " Have you ever studied French? "
Indirect : She inquired me whether I had ever studied French.
40

Direct : They said to us, " Do you speak Chinese? "


Indirect : They asked us if we spoke Chinese.
Direct : She said to him, " Can you swim? "
Indirect : She enquired him whether he could swim.
Direct : John said to her, " Will you go to the party tonight? "
Indirect : John asked her if she would go to the party that night.
Direct : We said to him, " Should we postpone the appointment
to next Monday? "
Indirect : We inquired him whether we should postpone the
appointment to Moday after.

ใช้ Question Word ขึน


้ ต้นประโยคใน Direct Speech
Direct : I said to Tony, " How long have you been here? "
Indirect : I enquired Tony how long he had been here.
Direct : She said to me, " What is your name? "
Indirect : She asked me what my name was.
Direct : They said to him, " Where did you go last night? "
Indirect : They inquired him where he had gone the night before.
Direct : My mother said to me, " Why don't you go to school
yesterday? "
Indirect : My mother asked me why I did not go to school the
day before.
41

บทที ่ ๑๙

Indirect Speech : ประโยคทีใ่ ช้ " Let's "


หลักการเปลีย
่ น

เมือ
่ ประโยค Direct Speech ปรากฏสำานวน Let's นะครับ เวลาทีจ
่ ะทำาให้เป็น Indirect
Speech
จะต้องใช้กริยานำา ( Reporting Verb ) ว่า suggest, advise, urge, propose
นะครับ

จากนัน
้ จึงตามด้วย them + infinitive with " to " นะครับ ลองมาด้ตัวอย่างประโยคกัน

เลยนะครับ

Direct : She said, " Let's go shopping. "


Indirect : She urged them to go shopping.
Direct : Eugene said, " Let's study English. "
Indirect : Eugene proposed them to study English.
Direct : The teacher said, " Let's play a game. "
Indirect : The teacher advised them to play a game.
Direct : The speaker said, " Let's eat vegetables. "
Indirect : The speaker suggested them to eat vegetables.
เป็นอย่างไรบ้างครับ ไม่อยากเลยใช่ไหมครับผม คิดว่าท่านผ้อ
้ ่านคงจะเข้าใจวิธีการใช้แล้วใช่ไหมครับ ?

บทที ่ ๒๐

Indirect Speech : ประโยคอุทาน ( Exclamation )


หลักการเปลีย
่ น

ประโยคอุทานนัน
้ เรามักจะอุทานของมาด้วยอารมณ์ทีแ
่ ตกต่างกันใช่ไหมครับ ? เช่น อุทานของมาด้วย

,
ความดีใจ ตกใจ , เสียใจ , ,
ยินดี ตืน
่ เต้น ฯลฯ เพราะฉะนัน
้ เมือ
่ เราทำาประโยคให้เป็น Indirect
42

Speech กริยานำา ( Reporting Verb ) ก็จะต้องบ่งบอกว่าการอุทานในตอนนัน


้ เป็นการ

อุทานแบบไหนด้วยนะครับ ยกตัวอย่างเช่น

exclaimed with delight อุทานออกมาด้วยความดีใจ

exclaimed with sadness อุทานออกมาด้วยความเสียใจ

exclaimed with surprise อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

exclaimed with anger อุทานออกมาด้วยความโกรธ

exclaimed with excitement อุทานออกมาด้วยความตืน


่ เต้น

exclaimed with admiration อุทานออกมาด้วยความชืน


่ ชมยินดี

เหล่านีเ้ ป็นต้นครับ ง่ายสุดคือ คุณก็เขียนว่า exclaimed with + N ( ทีแ


่ สดงถึงอารมณ์ของ

ประโยคนัน
้ ๆ )
อย่าลืมนะครับ คำาทีแ
่ สดงอารมณ์เหล่านัน
้ จะต้องทำาให้เป็น คำานาม ด้วยนะคร้าบ ^o^
ตัวอย่างประโยค

Direct : He said, " Hurrah! I passed the Entrance Exam! "


Indirect : He exclaimed with delight the he passed the Entrance
Exam.
Direct : She said, " Congratulation! What a success you have! "
Indirect : She exclaimed with admiration for my success.
Direct : They said, " Hey, why do you so late? "
Indirect : They exclaimed with surprise for my late arrival.
Direct : She said, " Help me! "
Indirect : She exclaimed with fright for help.
ประโยค Indirect Speech ทีใ่ ช้กับประโยคอุทานนัน
้ อาจจะด้ยุ่งยากสับสนเล็กน้อยนะครับ

เพราะเราอาจจะต้องร้้จักดัดแปลงประโยคเล็กน้อยเมือ
่ ทำาเป็น Indirect Speech q^_6 p
43

บทที ่ ๒๑

Indirect Speech : รวมประโยคหลายแบบเข้าด้วยกัน

1. ประโยคคำาถาม กับ ประโยคบอกเล่า

ใช้ and said that เป็นตัวเชือ


่ มนะครับ กรณีทีป
่ ระโยคข้างหลังเป็นประโยคบอกเล่า เช่น

Direct : He said to me, " When will they come? I will be ready at
any time. "
Indirect : He asked me when they would come and said that he
would be ready at any time.
ใช้ and asked กรณีทีป
่ ระโยคคำาถามเป็นประโยคหลัง เช่น

Direct : Steve said to me, " I will be at home at 6 p.m. When will
you call me? "
Indirect : Steve told me that he would be at home at 6 p.m. and
asked when I would call him.
2. ประโยคคำาสัง่ กับ ประโยคคำาถาม

ใช้ and asked เป็นตัวเชือ


่ มทัง้ 2 ประโยคครับ เช่น

Direct : The librarian said to us, " Be quiet! Why are you so
noisy? "
Indirect : The librarian told us to be quiet and asked why we
were so noisy.
44

3. ประโยคบอกเล่า กับ ประโยคคำาสัง่

ใช้ and told + บุคคล + infinitive เป็นคำาเชือ


่ มระหว่างประโยคทัง้ สอง เช่น

Direct : She said to him, " I don't feel well. Leave me alone! "
Indirect : She said to him that she didn't feel well and told him
to leave her alone.
4. ประโยคบอกเล่า กับ ประโยคปฏิเสธ

ใช้ and that มาเชือ


่ มครับ เช่น

Direct : Simon said to me, " My computer is broken. I can't use


it. "
Indirect : Simon said to me that his computer was broken and
that he couldn't use it.
5. ประโยคคำาสัง่ ทัง้ ค่้

ใช้ and to เชือ


่ มครับผม เช่น

Direct : She said to us, " Stand up! Look overthere! "
Indirect : She told to us to stand up and to look overthere.

บทที ่ ๒๒

Indirect Speech : ประโยค Direct ขึน


้ ต้นด้วย Yes หรือ No
วิธีทำา

1. เปลีย
่ น said to เป็น told + บุคคล + that
หากประโยคเดิมเป็น " Yes, + ประโยคทีเ่ ป็น Present Tense " เช่น

Direct : He said to me, " Yes, I often go to the library. "


Indirect : He told me that he often went to the library.
45

2. เปลีย
่ น said to เป็น promised that
หากประโยคเดิมเป็น " Yes, + ประโยคทีเ่ ป็น Future Tense " เช่น

Direct : Joe said, " Yes, I will think of you. "


Indirect : Joe promised that he would think of me.
3. เปลีย
่ นจาก said เป็น refused to + Infinitive Verb
หากประโยคเดิมเป็น " No, + ประโยคซึง่ ไม่กระทำาสิง่ ใดสิง่ หนึง่ " เช่น

Direct : She said, " No, I won't stay at home. "


Indirect : She refused to stay at home.

บทที ่ ๒๓

Indirect Speech : ข้อสังเกตอืน


่ ๆ

1. ไม่ต้องเปลีย
่ นสรรพนามบุคคล ( Personal Pronoun ) ถ้าสรรพนามบุคคลนัน
้ เป็นบุรุษ

เดียวกัน
ทัง้ นีเ้ พราะเป็นการเล่าถึงคำาพ้ดของตนเอง เช่น

Direct : I said, " I will go shopping. "


Indirect : I said that I would go shopping.
แต่ถ้าสรรพนามบุคคลนัน
้ ต่างบุรุษกัน ต้องเปลีย
่ นไปตามกฎนะครับ เช่น

Direct : He said, " I will go swimming. "


Indirect : He said that he would go swimming.
2. กริยาบางตัวซึง่ ใช้ในความหมายของ Present Tense แต่มีร้ปเป็น Past Tense อย่แ
้ ล้ว

ไม่ต้องเปลีย
่ นแปลง นัน
่ คือ could, should, would, might เช่น

Direct : She said, " I might study Chinese. "


Indirect : She said that she might study Chinese.
46

3. คำาเชือ
่ ม that ในประโยคบอกเล่าของ Indirect Speech สามารถละไว้ได้ ถือว่าไม่ผิด

แต่อย่างใด เช่น

Direct : They said, " We are going to have a dinner. "


Indirect : They said they were going to have a dinner.

บทที ่ ๒๔

Passive Voice : Introduction


Active Voice vs Passive Voice
Active Voice คือ ประโยคทีป
่ ระธานเป็นกระทำาหรือแสดงกริยานัน
้ โดยตรง เช่น

We are playing tennis.


พวกเรากำาลังเล่นเทนนิส

I get up early everyday.


ฉันตืน
่ นอนแต่เช้าทุกวัน

ซึง่ จะเห็นได้อย่างชัดเจนนะครับ ว่าทัง้ " พวกเรา " และ " ฉัน " ต่างเป็นผ้้กระทำากริยานัน
้ ๆ ทัง้ สิน

Passive Voice คือ ประโยคทีป


่ ระธานเป็นผ้้ถ้กกระทำากริยานัน
้ โดยผ้อ
้ ืน
่ หรือสิง่ อืน
่ เช่น

A student was punished by his teacher.


นักเรียนถ้กทำาโทษโดยคร้ของเขา

The bank is closed at 3.30 p.m. everyday.


ธนาคารถ้กปิ ดเวลา 15.30 น. ทุกวัน ( แปลตามตัว )
แต่ถ้าต้องการแปลให้สละสลวยแล้วก็ควรจะแปลว่า " ธนาคารปิ ดเวลา 15.30 น. ทุกวัน " ครับ

ร้ปแบบประโยค Passive Voice นีเ้ ราจะเห็นได้ว่า ภาษาอังกฤษมักจะใช้บ่อยมากเลยนะครับ โดย

เฉพาะการเขียนที ่ เป็นแบบทางการครับ แต่ภาษาไทยเรานัน


้ ปรกติแล้วเราจะใช้ไม่บ่อยเท่าภาษาอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันภาษาไทย ได้รับอิทธิพลจากภาษาอังกฤษมากทีเดียวครับ เพราะฉะนัน
้ เราจึงมัก

จะเห็นประโยคภาษาไทยทีใ่ ช้ Passive Voice แบบภาษาอังกฤษเยอะมากขึน


้ เลยครับ
47
บทที ่ ๒๕

Passive Voice : หลักการเปลีย


่ น

วิธีเปลีย
่ น

1. ให้เอาคำาทีเ่ ป็นกรรมของประโยค Active ไปเปลีย


่ นเป็นประธานในประโยค Passive
2. ใช้ Verb to Be ให้ถ้กต้องตามพจน์และ Tense
3. กริยาแท้ในประโยค Active จะต้องทำาให้เป็น Verb ช่อง 3 เสมอ โดยวางไว้หลัง Verb to
Be
4. เอาประธานของประโยค Active ไปวางเป็นกรรมของประโยค Passive และเติม by ไว้ข้าง

หน้า

หมายเหตุ : คุณต้องผันกริยาช่องที ่ 3 ให้ได้นะครับ โดยเฉพาะกลุ่ม Irregular Verbs ( กริยาที ่

มีการผันโดยเฉพาะ )
หากยังไม่ทราบ เชิญเข้าไปด้ได้ทีต
่ ารางการผันกริยา Irregular Verbs ทีห
่ น้าหลักได้ หรือ คลิกที ่

นี ่ ครับ

ร้ปประโยค Passive Voice ทัง้ 12 Tenses ครับผม

Present Simple = Subject + is, am, are + Verb 3 + by ..........


Present Continuous = Subject + is, am, are + being + Verb 3 +
by.........
Present Perfect = Subject + have, has + been + Verb 3 +
by..........
Present Perfect Continuous = Subject + have, has + been +
being + Verb 3 + by..........
Past Simple = Subject + was, were + Verb 3 + by.........
Past Continuous = Subject + was, were + being + Verb 3 +
by..........
48

Past Perfect = Subject + had + been + Verb 3 + by..........


Past Perfect Continuous = Subject + had + been + being + Verb
3 + by..........
Future Simple = Subject + will + be + Verb 3 + by..........
Future Continuous = Subject + will + be + being + Verb 3 +
by..........
Future Perfect = Subject + will + have + been + Verb 3 +
by..........
Future Perfect Continuous = Subject + will + have + been +
being + Verb 3 + by..........
หมายเหตุ : Passive Voice ของ Present Perfect Continuous, Past
Perfect Continuous, และ Future Perfect Continuous Tense ปัจจุบันไม่

นิยมใช้แล้วนะครับ และหากใครทีย
่ ังจำาไม่ได้อย่างแม่นยำาว่าแต่ละ Tense ใช้อย่างไร ก็กรุณากลับ ไป

อ่านบทเรียนเก่าๆ ของผมก็ได้นะครับ โดยคลิกทีข


่ ้างล่างนีเ้ ลยครับ ^_^

บทที ่ ๒๖

Passive Voice : ตัวอย่างประโยค

ตัวอย่างการเปลีย
่ นประโยค Active เป็น Passive ใน 12 Tenses
เมือ
่ บททีแ
่ ล้วผมได้แนะนำาโครงสร้างประโยคของ Passive Voice ทัง้ 12 Tenses ไปแล้วนะ

ครับ มาบทนีผ
้ มขอยกประโยคตัวอย่างประกอบ
เพือ
่ ท่านผ้้อ่านจะได้เห็นภาพมากขึน
้ ครับ ใครทีย
่ ังไม่ได้อ่านบททีแ
่ ล้วเชิญ คลิกทีน
่ ี ่ ครับผม

Present Simple Tense


Active : Somchai drives a bus.
49

Passive : A bus is driven by Somchai.


Present Continuous Tense
Active : Somchai is driving a bus.
Passive : A bus is being driven by Somchai.
Present Perfect Tense
Active : Somchai has driven a bus.
Passive : A bus has been driven by Somchai.
Present Perfect Continuous Tense
Active : Somchai has been driving a bus.
Passive : A bus has been being driven by
Somchai.
Past Simple Tense
Active : Somchai drove a bus.
Passive : A bus was driven by Somchai.
Past Continuous Tense
Active : Somchai was driving a bus.
Passive : A bus was being driven by Somchai.
Past Perfect Tense
Active : Somchai had driven a bus.
Passive : A bus had been driven by Somchai.
Past Perfect Continuous Tense
Active : Somchai had been driving a bus.
50

Passive : A bus had been being driven by


Somchai.
Future Simple Tense
Active : Somchai will drive a bus.
Passive : A bus will be driven by Somchai.
Future Continuous Tense
Active : Somchai will be driving a bus.
Passive : A bus will be being driven by
Somchai.
Future Perfect Tense
Active : Somchai will have driven a bus.
Passive : A bus will have been driven by
Somchai.
Future Perfect Continuous Tense
Active : Somchai will have been driving a bus.
Passive : A bus will have been being driven by
Somchai.

บทที ่ ๒๗

Passive Voice : คำากริยาทีใ่ ช้ในประโยค Passive ไม่ได้

คำากริยาทุกตัวไม่สามารถนำามาแต่งเป็นประโยค Passive Voice ได้นะครับ ต่อไปนีเ้ ป็นหลักทัว


่ ไป

ครับผม อย่างไรก็ตาม
51

ผมก็ขอแนะให้จำาเป็นกลุ่มหรือเป็นคำาไปด้วยนะครับ ว่ากริยาตัวไหนเอามาแต่งเป็น Passive


Voice ไม่ได้

1. อกรรมกริยา ( Intransitive Verb ) หมายถึง คำากริยาทีไ่ ม่จำาเป็นต้องมีกรรมมารองรับ

สามารถอย่้โดดได้ ห้ามนำามาแต่งเป็น

Passive Voice เด็ดขาดเลยนะครับ เช่น

A bird is flying in the air. ไม่สามารถแต่งเป็น Passive Voice ได้นะครับ เพราะ

ประโยคนีไ้ ม่มีกรรม เพราะคำาว่า fly แปลว่า บิน นัน


ไม่จำาเป็นต้องมีกรรมเลย เราก็ทราบอย่้แล้วว่านกกำาลังบินอย่้ คำาว่า in the air นัน


้ ไม่ใช่เป็นกรรมนะ

ครับ เป็นเพียงวลีทีข
่ ยาย

กริยา fly เท่านัน


้ น่ะครับ

ก็อย่างทีบ
่ อกนะครับว่า อกรรมกริยานี ้ ก็ต้องหมัน
่ ค่อยๆ จำากันไปครับผม ผมไม่สามารถแนะหลักได้
จริงๆ ครับ ต้องจำาเท่านัน
้ นะครับ

2. สกรรมกริยา ( Transitive Verb ) บางคำา ก็ไม่สามารถแต่งเป็นประโยคได้ สกรรมกริยาก็

ตรงข้ามกับอกรรมกริยาครับ กล่าวคือ
เป็นคำากริยาทีต
่ ้องมีกรรมมารองรับครับผม แบบนีต
้ ้องอาศัยจำาไปเป็นคำาๆ นะครับ ตัวอย่างกรณีนีก
้ ็อย่าง
เช่น

He had his breakfast at home. เราไม่สามารถแต่งเป็น Passive Voice ได้ว่า

His breakfast was had by him at home. ( ไม่มีใครใช้กันนะครับ )


หมายเหตุ : อกรรมกริยา สามารถเปลีย
่ นเป็น Passive Voice ได้ กรณีทีค
่ ำากริยาตัวนัน
้ มี

preposition + object
( ทัง้ นีเ้ พราะ Intransitive Verb + Object = Transitive Verb ได้ทันทีครับผม )
ยกตัวอย่างเช่น

We will look after him well.


He will be well looked after.
52

Everybody doesn't like people looking down on him.


Everybody doesn't like being looked down.

บทที ่ ๒๘

Passive Voice : ประโยคคำาถาม

หลักการเปลีย
่ นประโยค Active ทีเ่ ป็นคำาถามให้เป็น Passive
ประโยค Active Voice ทีเ่ ป็นประโยคคำาถามทีข
่ ึน
้ ด้วย Question Words เมือ
่ เปลีย
่ นเป็น

Passive ให้ทำาดังต่อไปนี ้ :-
1. ให้เอา Question Words อันได้แก่ What, Where, When, Why,
Whose, Whom, Which, How ขึน
้ ไว้ต้นประโยคเหมือนเดิม ยกเว้นคำาว่า Who
ให้เปลีย
่ นเป็น " By whom " แทน

2. คำาอืน
่ ๆ เช่น Verb to Be, must, may, can, could, should, would,
might, etc. ให้เรียงแบบคำาถามตามปรกติ โดยวางไว้หน้าประธาน แต่อย่ห
้ ลัง

Question Words
3. ประธานใน Active Voice ต้องนำาไปเป็นกรรมตามหลังบุพบท by
4. กริยาแท้ใน Active Voice เมือ
่ เปลีย
่ นเป็น Passive Voice ให้ทำาเป็นกริยาช่อง 3
ตัวอย่างประโยค

Active : What does he want?


Passive : What is wanted by him?
Active : Who punished her?
Passive : By whom was she punished?
Active : Which dictionary do you buy?
Passive : Which dictionary is bought by you?
53

Active : How will they do it?


Passive : How will it be done by them?
Active : Whom does she love?
Passive : Who is loved by her?
Active : Where did you find it?
Passive : Where was it found by you?
Active : Whose computer will you buy?
Passive : Whose computer will be bought by you?
Active : When did he send her a present?
Passive : When was she sent a present by him?
Active : Why did you open it?
Passive : Why was it opened by you?
สำาหรับบทนีผ
้ มว่าถ้าหากท่านไม่ค่อยเข้าใจก็อย่ากังวลมากเลยนะครับ เพราะผมคิดว่าส่วนใหญ่แล้วเรามัก
จะใช้ประโยคคำาถามทีข
่ ึน
้ ต้นด้วย

Question Words ในร้ปแบบ Active Voice กันมากกว่าครับ แต่ทีน


่ ำามาให้ด้ก็เพือ
่ ทีจ
่ ะให้

ท่านได้จดจำาร้ปแบบประโยคลักษณะนีเ้ อาไว้ครับ

เผือ
่ อาจจะมีโอกาสได้พบเห็นต่อไปในอนาคตครับผม ^_^

บทที ่ ๒๙

Passive Voice : ประโยคคำาสัง่

หลักการเปลีย
่ น
ประโยคคำาสัง่ คือประโยคทีข
่ ึน
้ ต้นด้วยคำากริยา และไม่มีประธานเพราะละไว้ในฐานทีเ่ ข้าใจแล้ว ดังนัน
้ หลัก
การเปลีย
่ น

ประโยค Active Voice ทีเ่ ป็นประโยคคำาสัง่ มาเป็น Passive Voice จะต้องทำาดังนี ้

Let + object + be + Verb ช่อง 3


54
ตัวอย่างประโยค

Active : Open the window.


Passive : Let the window be opened.
Active : Don't destroy the house.

Passive : Let the house not be destroyed.


Active : Do it.
Passive : Let it be done.
Active : Don't close the door.

Passive : Let the door not be closed.


เป็นอย่างไรกันบ้างครับ สัน
้ ๆ เข้าใจง่ายไม่ยากใช่ไหมครับผม ? ^_^

บทที ่ ๓๐

Passive Voice : ประโยคทีไ่ ม่ต้องการ BY


การจะนำาเอาประธานในประโยค Active Voice ไปไว้หลัง by ใน Passive Voice หรือไม่

นัน
้ เราจะต้องด้ใจความของประโยค คือ ถ้าเราไม่เน้นผ้้กระทำาหรือผ้้กระทำานัน
้ ไม่สำาคัญและไม่จำาเป็นที ่

จะต้องกล่าวถึง เราก็สามารถละบุพบท by ได้ครับ ยกตัวอย่างเช่น

His house was painted beautifully before he moved in.


บ้านของเขาได้ถ้กทาสีไว้อย่างงดงาม ก่อนทีเ่ ขาจะย้ายเข้ามาอย่้
ประโยคนีเ้ ราไม่ทราบว่าใครเป็นคนทา เพราะเราไม่ได้สนใจทีจ
่ ะทราบ เราสนใจเพียงแต่ว่า บ้านได้ถ้ก
ทาสีไว้อย่างงดงามเท่านัน
้ ครับ

เราสามารถสรุปกรณีทีเ่ ราสามารถละบุพบท by ไว้คร่าวๆ ได้ดัวต่อไปนี ้

1. เมือ
่ ประธานในประโยค Active Voice เป็น everyone, everybody, someone,
somebody, on one, nobody
ไม่ต้องนำาไปวางไว้ข้างหลัง by ในประโยค Passive Voice เช่น
55

Active : No one has used the door for six years.


Passive : The door hasn't been used for six years.
Active : Somebody ate three apples overhere.
Passive : Three apples were eaten overhere.
Active : Everybody studies Chinese in this school.
Passive : Chinese is studied in this school.
2. เมือ
่ ประธานในประโยค Active Voice เป็นบุรุษสรรพนาม ( Personal Pronoun )
คือ I, You, We, They, He, She, It ไม่ต้องใส่ไว้หลังบุพบท by เช่น

Active : She closed the window of the house.


Passive : The window of the house was closed.
Active : They will build a new road through here soon.
Passive : A new road will be built through here soon.
นอกจากนีแ
้ ล้ว ถ้าประโยค Active Voice ขึน
้ ต้นด้วย People say that ............. ,
People believe that ..............
เมือ
่ ทำาเป็นประโยค Passive Voice ให้เปลีย
่ นเป็น It is said that ............., It is
believed that ................ เช่น

Active : People say that optimism promotes happiness.


Passive : It is said that optimism promotes happiness.
Active : People believe that the earth is round.
Passive : It is believed that the earth is round.

บทที ่ ๓๑

Passive Voice : กรณีมีกรรม 2 ตัว


56

ก่อนอืน
่ เราต้องทราบก่อนนะครับว่า ในภาษาอังกฤษกรรม 2 ตัวนัน
้ หมายถึงว่าจะมี

1. Direct Object = กรรมตรง ( คือสิง่ ของ )


2. Indirect Object = กรรมรอง ( คือบุคคล )
เมือ
่ ประโยค Active Voice มีกรรมทัง้ 2 แบบคือ ทัง้ กรรมตรง ( สิง่ ของ ) และกรรมรอง (
บุคคล ) หากเปลีย
่ นเป็น Passive Voice แล้ว

เรานิยมเอา " กรรมรองหรือบุคคล " ไปเป็นประธานมากกว่าเอากรรมตรงหรือสิง่ ของ อย่างไรก็ตาม

เราสามารถทีจ
่ ะเอากรรมตรงไปเป็น

ประธานของประโยค Passive Voice ได้ แต่ต้องใส่บุพบท " to " ข้างหน้ากรรมรองทีเ่ หลืออย่้

นัน
้ ทุกครัง้ ด้วย ตัวอย่างเช่น

Active Voice : He give me a flower.


Passive Voice : I was given a flower by him. ( กรรมรองขึน
้ ต้น )
Passive Voice : A flower was given to me by him. ( กรรมตรงขึน
้ ต้น )
คำาแปล :- เขาให้ดอกไม้ 1 ดอกแก่ฉัน

- ฉันถ้กให้ดอกไม้ 1 ดอกโดยเขา

- ดอกไม้ 1 ดอกถ้กให้แก่ฉันโดยเขา

Active Voice : The teacher teaches Peter French.


Passive Voice : Peter is taught French by the teacher. ( กรรมรองขึน

ต้น )
Passive Voice : French is taught to Peter by the teacher. ( กรรมตรง

ขึน
้ ต้น )
57

คำาแปล :- อาจารย์สอนภาษาฝรัง่ เศสให้ปีเตอร์

- ปี เตอร์ถ้กสอนภาษาฝรัง่ เศสให้โดยอาจารย์

- ภาษาฝรัง่ เศสถ้กสอนให้ปีเตอร์โดยอาจารย์

หมายเหตุ : กริยาทีม
่ ีกรรม 2 ตัวมารองรับ มักจะได้แก่กริยาต่อไปนี ้

give, fetch, write, buy, answer, send, show, teach, promise, lend,
tell, offer, sell,
ask, pay, call

บทที ่ ๓๒

Passive Voice : กรณีมีกริยาช่วย ( Helping Verbs )


ในกรณีทีป
่ ระโยค Active Voice มีกริยาช่วย ( Helping Verbs ) เหล่านี ้ ได้แก่ can,
could, should, would, might, may,
must, ought to, have to, has to, ( be ) going to หากต้องจะทำาให้เป็น

ประโยค Passive Voice แล้วให้ทำาตามร้ปแบบต่อไปนี ้

Subject + Helping Verbs + be + Verb 3


ตัวอย่างประโยค

Active : She can speak Japanese.


Passive : Japanese can be spoken by her.
Active : I have to study math.
Passive : Math has to be studied by me.
Active : Joe must clean a desk.
Passive : A desk must be cleaned by Joe.
58

Active : I may type an email tonight.


Passive : An email may be typed by me tonight.
Active : They are going to buy a car.
Passive : A car is going to be bought by them.
Active : You ought to meet her today.
Passive : She ought to be met by you today.

บทที ่ ๓๓

Passive Voice : กรณีอืน


่ ๆ

กรณีมี Adverb of Manner


เมือ
่ ประโยค Active Voice มี Adverb of Manner ( กริยาวิเศษณ์บอกอาการ ) เช่น

well, badly เป็นต้น อย่้ด้วย หากเปลีย


่ นเป็นประโยค

Passive Voice ให้วาง Adverb of Manner ไว้หน้ากริยาช่อง 3 ใน Passive


Voice เสมอ เช่น

Active : You did the work well.


Passive : The work was well done ( by you ).
Active : She dressed her children badly.
Passive : Her children were badly dressed ( by her ).
กรณีมี Infinitive without " to "
เมือ
่ ประโยค Active Voice มี infinitive without " to " อย่้ หากเปลีย
่ นเป็น

Passive Voice ต้องเปลีย


่ นเป็น infinitive with " to "
( คือเติม to เข้าไปนะครับ ) เช่น
59

Active : They heard her sing there. ( without " to " )


Passive : She was heard to sing there. ( with " to " )
ข้อยกเว้น : คำาว่า Let ยังคงใช้ Infinitive without " to " อย่เ้ ช่นเดิม เช่น

Active : He let us go. ( without " to " )


Passive : We were let go. ( without " to " เหมือนเดิม )
กรณีคำาขยายเป็น Present Participle ( V -ing )
เมือ
่ ประโยค Active Voice ซึง่ ตัวกรรมมีคำาขยายเป็น present participle ( กริยาเติม

-ing ) หากต้องการทำาเป็น Passive Voice จะต้องเปลีย


่ น present participle ให้เป็น

being + V3 ยกตัวอย่างเช่น

Active : I saw Kim writing the report.


Passive : I saw the report being written by Kim.
Active : She looked at him making the table.
Passive : She looked at the table being made by him.
กรณีที ่ Passive Voice บางประโยคไม่ใช้บุพบท BY
กริยาบางตัวในประโยค Passive Voice นัน
้ อาจจะไม่ได้ใช้บุพบท by นะครับ แต่จะใช้ in,
at, with, etc. แทนครับผม ซึง่ ต้องใช้วิธีจำาเพียงวิธีเดียวนะครับ เช่น interested in,
pleased at, covered with, killed in ครับผม มาถึงตรงนีแ
้ ล้วกระผมก็ต้องจบเรือ
่ ง

Passive Voice ไว้แต่เพียงเท่านีน


้ ะครับ

บทที ่ ๓๔

Verb : Introduction
โดยปรกติแล้วหนังสือไวยากรณ์ฉบับต่างๆ อาจจะมีวิธีการแบ่งประเภทของคำากริยาทีแ
่ ตกต่างกันออกไป
นะครับ เพราะฉะนัน
้ ทีผ
่ มแบ่งประเภทของ กริยาในตอนนีอ
้ าจจะไม่ตรงกับหนังสือไวยากรณ์ฉบับอืน
่ ๆ ก็
เป็นได้นะครับ แต่โดยหลักรวมๆ แล้ว คำากริยาสามารถแบ่งเป็นกลุ่มๆ ทีเ่ ห็นได้ชัดได้ดังนีค
้ รับ
60

1. Finite Verb
แปลว่า " กริยาแท้ " ซึง่ หมายถึง คำากริยาซึง่ เป็นหลักเป็นส่วนสำาคัญของประโยค ทุกประโยคจะต้องมี

กริยาแท้ครับ มิฉะนัน
้ เราจะไม่ถือว่า ข้อความนัน
้ เป็นประโยค นอกจากนีแ
้ ล้ว Finite Verb จะ

เปลีย
่ นร้ปไปตาม Tense ต่างๆ ด้วยครับผม ตัวอย่างเช่น

คำาว่า Go ในประโยคต่อไปนีล
้ ้วนเป็นกริยาแท้นะครับ และผันไปตาม Tense ต่างๆ ด้วยครับ

He goes.
He has went there early.
He will go there soon.
He is going.
2. Non-Finite Verb
แปลว่า " กริยาไม่แท้ " ซึง่ ไม่ได้เป็นกริยาหลักของประโยค แต่ถ้กนำาไปใช้ทำาหน้าทีอ
่ ย่างอืน
่ ในประโยค

เช่น เป็นคำานาม คำาคุณศัพท์ หรือเป็น กริยาวิเศษณ์ เป็นต้น ในภาษาอังกฤษนัน


้ เราสามารถแบ่งร้ป

กริยาไม่แท้นีไ้ ด้เป็น 3 ประเภทครับ

2.1 Infinitive = กริยาทีม


่ ี to + Verb 1 ครับ เช่น to eat, to take, to write,
to read เป็นต้น

2.2 Gerund = กริยาทีเ่ ติม -ing ( Verb + ing ) เช่น sleeping, speaking,
typing เป็นต้น

2.3 Participle = กริยาทีเ่ ติม -ing เช่น eating, going ซึง่ แบบนีเ้ ราเรียกว่า "
Present Participle " ครับ และอีกแบบหนึง่ ก็คือ กริยาทีอ
่ ย่้ในร้ป Verb 3 เช่น gone,
taken, eaten เป็นต้น เราเรียกว่า " Past Participle " ครับ

3. Auxiliary Verb
บางทีเราก็อาจจะเรียกว่า " Helping Verb " ได้นะครับ ซึง่ ก็คือกริยาช่วยนัน
่ เอง กริยาเหล่านีจ
้ ะ

ไปทำาหน้าทีช
่ ่วยกริยาตัวอืน
่ ๆให้ประโยคเป็นบอกเล่า คำาถาม ปฏิเสธ หรือเป็นเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต
61
ปัจจุบัน และอนาคต รวมไปถึงการคาดคะเน เงือ
่ นไขต่างๆ คำามัน
่ สัญญา ในภาษาอังกฤษมีกริยาช่วย
ดังต่อไปนีค
้ รับ

Verb to be ( is, am, are, was, were ); Verb to have ( have, has,
had ); Verb to do ( do, does, did );
will, would, shall, should, can, could, may, might, must, need,
dare, ought to, used to,
บางตำาราอาจจะพ่วง had better, would rather, have to, และ should ( ทีเ่ ท่ากับ

ought to ) เข้าไปด้วยนะครับ

4. Transitive Verb
หรือในภาษาไทยเรียกว่า " สกรรมกริยา " หมายถึงกริยาทีต
่ ้องมีกรรมมารองรับหรือมีกรรมมาขยาย

ตามหลังครับ ยกตัวอย่างเช่น wash, clean, order, hit, kick, give, buy, write,
bring, buy, open, close เป็นต้นครับ

คำาทีจ
่ ะสามารถนำามาเป็นกรรมของสกรรมกริยาได้ มีดังต่อไปนีค
้ รับ

4.1 คำานามทุกชนิด เช่น Our country needs the growth and


development.
4.2 คำาสรรพนาม เช่น I told her that she should study Chinese.
4.3 Infinitive เช่น He wants to continue his studies in USA.
4.4 Gerund ( Verb -ing ) เช่น We enjoy dancing at the party last
night very much.
4.5 วลีทุกชนิด เช่น She doesn't know what to do for you.
4.6 อนุประโยค ( Subordinate Clause ) เช่น I know what you did last
summer.
62

5. Intransitive Verb
ในภาษาไทยเราเรียกว่า " อกรรมกริยา " ซึง่ ก็คือคำากริยาทีไ่ ม่จำาเป็นต้องมีกรรมมารองรับ เพราะมีเนือ

ความสมบ้รณ์ในตัวอย่้แล้ว เช่น

regret, stay, inhale, relapse, go, sleep, fly, run, stand, sit, come,
dance, exhale, light, laugh เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม อกรรมกริยาบางคำาแม้ไม่จำาเป็นต้องพึง่ กรรม แต่ก็ยังต้องการคำาหรือกลุ่มคำาอืน


่ เพือ
่ มาช่วย
ขยายความตามหลังนะครับ

จึงจะฟั งได้เข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ซึง่ เราเรียกว่า " Subjective Complement " หรือ

ตัวขยายอกรรมกริยา เพือ
่ ให้ประธานของประโยคมีใจความสมบ้รณ์ อกรรมกริยาเหล่านัน
้ ก็ยกตัวอย่าง
เช่น

seem, look, feel, taste, stay, get, turn, remain, sound, become,
prove, appear, grow, show,
Verb to be, Verb to have ( ทีแ
่ ปลว่า ' มี ' เท่านัน
้ นะครับ ) เช่น

She remains beautiful.


They look unhappy.
The food in that plate is bad.
You seem sleepy.
The sky turns grey.

บทที ่ ๓๕

Verb : หน้าทีข
่ อง Verb to Be
1. ใช้เป็นกริยาหลัก ( Principal Verb ) ของประโยค ซึง่ กรณีนีใ้ นประโยคจะไม่มีกริยาตัวอืน

เข้ามาอย่้ร่วมกับ Verb to Be เช่น


63

She is a good student.


We are from Thailand.
2. วางไว้หน้ากริยาทีเ่ ติม -ing ทำาให้ประโยคนัน
้ เป็น Continuous Tense ซึง่ แปลว่า " กำาลัง

" เช่น

They are reading magazines.


He is eating an apple.
3. วางไว้หน้ากริยาช่องที ่ 3 เพือ
่ ทำาให้ประโยคนัน
้ เป็น Passive Voice ซึง่ แปลว่า " ถ้ก " เช่น

He was punished by his mother.


Thai is spoken in Thailand.
4. ในประโยคคำาสัง่ หรืออวยพรทีน
่ ำาหน้าประโยคด้วย Adjective จะต้องใช้ Be เสมอ เช่น

Be quiet. They are sleeping.


Be good luck in your examination.
5. ใช้นำาหน้าสำานวน about to + Verb ช่องที ่ 1 ซึง่ จะแปลว่า " จะ " แสดงถึงเหตุการณ์ทีจ
่ ะ

เกิดขึน
้ ในอนาคตอันใกล้ เช่น

The airplane is about to land at Bangkok.


I am about to go home within one hour.
6. ใช้วางไว้หน้า Infinitive ( to + Verb 1 ) ซึง่ จะแปลว่า " ,
จะ จะต้อง " แสดงถึงหน้าที ่

ทีต
่ ้องกระทำาหรือความเป็นไปได้ เช่น

He is to stay here until I come back. เขาจะต้องอย่ท


้ ีน
่ ีจ
่ นกว่าฉันจะกลับมา

She is to be paid at the end of this month. เธออาจจะได้รับเงินในสิน


้ เดือนนี ้

ทัง้ หมดนีก
้ ็เป็นหน้าทีข
่ อง Verb to Be ในฐานะทีท
่ ำาหน้าทีเ่ ป็นกริยาช่วยกริยาตัวอืน
่ นะครับ (
ยกเว้นข้อ 1)
64

บทที ่ ๓๖

Verb : หน้าทีข
่ อง Verb to Do
หน้าทีข
่ อง Verb to Do ในฐานะเป็นกริยาช่วยคำากริยาอืน
่ ๆ มีดังต่อไปนี ้ :-
1. ช่วยทำาให้ประโยคบอกเล่า เป็นประโยคคำาถามหรือประโยคปฏิเสธ ตัวอย่างประโยค

Do : ประโยคบอกเล่า -> They study Thai history.


ประโยคคำาถาม -> Do they study Thai history?
ประโยคปฏิเสธ -> They don't study Thai history.
Does : ประโยคบอกเล่า -> He rides a bicycle.
ประโยคคำาถาม -> Does he ride a bicycle?
ประโยคปฏิเสธ -> He doesn't ride a bicycle.
Did : ประโยคบอกเล่า -> She went to Hong Kong last month.
ประโยคคำาถาม -> Did she go to Hong Kong last month?
ประโยคปฏิเสธ -> She didn't go to Hong Kong last month.
หมายเหตุ หากในประโยคบอกเล่านัน
้ ๆ มีกริยาช่วย will, shall, could, should, would,
might, may, can, must อย่แ
้ ล้ว ก็ไม่ต้องใช้ Verb to Do มาช่วย คุณสามารถใช้กริยา

ช่วยเหล่านีท
้ ำาเป็นประโยคคำาถามและปฏิเสธได้ทันที

2. ใช้หนุนกริยาหลัก เพือ
่ แสดงเน้นยำา
้ ว่าประธานทำากริยานัน
้ จริงๆ หรือเกิดขึน
้ จริงๆ โดยให้วางไว้หน้า

กริยาหลัก เช่น

I did went to school yesterday.


Do come with us.
He does talk to me.
They do play football.
65

3. ใช้แทนกริยาหลักในประโยคคำาตอบแบบสัน
้ ๆ เพือ
่ หลีกเลีย
่ งการพ้ดกริยาหลักนัน
้ ซำา
้ อีกรอบ ( ใช้

ในการตอบแบบ Yes/No ) เช่น

Do you drive a car? Yes, I do.


( จากประโยคเต็มว่า Yes, I drive a car. )
Did she eat their cake? No, she didn't.
( จากประโยคเต็มว่า No, she didn't eat their cake. )
4. ใช้แทนกริยาหลักในประโยคเดียวกัน เพือ
่ ต้องการไม่ให้ใช้กริยาตัวเดิมนัน
้ ซำ้าๆ ซากๆ เช่น

Ian like swimming and so does Lidia.


You went shopping yesterday but I didn't.
They study science and we do too.
5. ใช้แทนกริยาหลักในประโยคทีเ่ ห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เพือ
่ หลีกเลีย
่ งการพ้ดเป็นครัง้ ที ่ 2 เช่น

She sang very well. Yes, she did.


You speak too much. No, I don't.
Steve likes dogs. Yes, he does.
6. ใช้แทนกริยาแท้ในประโยคคำาถามแบบ Question Tag เช่น

She doesn't drink alcohol, does she?


They ate durian, didn't they?
You own a bookstore, don't you?

บทที ่ ๓๗

Verb : หน้าทีข
่ อง May, Might
MAY
66

1. ใช้เพือ
่ แสดงจุดมุ่งหมาย ( Purpose ) และจะอย่้หลัง so that หรือ in order
that เสมอ เช่น

We work hard so that I may succeed.


พวกเราทำางานอย่างหนัก เผือ
่ ว่าจะประสบความสำาเร็จ

We eat in order that we may live.


พวกเรากินเพือ
่ ว่าเราจะได้มีชีวิตอย่้

2. ใช้เพือ
่ แสดงการอนุญาตหรือการขออนุญาต ( Permission ) ทีจ
่ ะกระทำาการอย่างใดอย่าง

หนึง่ เช่น

May I open the window? Yes, you may.


I may smoke here, mayn't I? No, you may not.
3. ใช้เพือ
่ แสดงความปรารถนา ความหวัง หรือการอวยพรให้ประสบความสำาเร็จในสิง่ ทีต
่ ้องประสงค์ (
may อย่้ต้นประโยคเสมอ ) เช่น

May you succeed in your exam.


May you be happy forever.
4. ใช้ช่วยเพือ
่ แสดงการคาดคะเนว่าจะต้องเป็นอย่างนัน
้ อย่างนี ้ เช่น

He may learn driving within a week.


She may go overthere next month.
5. ใช้ช่วยเพือ
่ แสดงความเป็นไปได้ ( Possibility ) สำาหรับการกระทำานัน
้ ๆ เช่น

It may rain this evening.


She may tell me when she runs out of money.
6. ใช้ช่วยเพือ
่ แสดงความสงสัยหรือไม่แน่ใจของผ้้พ้ดต่อสิง่ นัน
้ ๆ เช่น

You may talk to everybody but you can't force him to listen to
you.
67
คุณอาจจะพ้ดกับทุกคนได้ แต่คุณไม่สามารถบังคับให้เขาฟั งคุณได้

MIGHT
1. ใช้เป็นร้ปอดีตของ MAY ในประโยคทีเ่ ปลีย
่ นมาจาก Direct Speech เช่น

Direct : He said, " I may drive your car today. "


Indirect : He said that he might drive my car that day. "
2. ใช้ในกรณีทีผ
่ ้พ้ดไม่แน่ใจว่าเขาจะทำาอย่างนัน
้ อย่างนีจ
้ ริง ( แต่ถ้าหากมัน
่ ใจอย่างแน่นอนให้ใช้

MAY แทน ) ลองเปรียบเทียบด้นะครับ

2.1 I don't know where A is. He might be at his office.


2.2 I think A may be at his office certainly.
ประโยคแรก I ไม่ทราบว่า A อย่ท
้ ีไ่ หนกันแน่ เพีงแต่คาดเดาเหตุการณ์ว่าเขาอาจจะอย่ท
้ ีท
่ ท
ี ่ ำางานของ

เขาก็ได้ จึงต้องใช้ might มาเป็นกริยาช่วย

ประโยคทีส
่ อง I ร้้อย่างแน่นอนว่า A ต้องอย่้ทท
ี ่ ีท
่ ำางานแน่ๆ ไม่ได้ไปไหน ดังนัน
้ จึงใช้ may เพือ
่ แสดง

ความมัน
่ ใจ

3. might + have + Verb 3 นำามาใช้เพือ


่ แสดงถึงความไม่แน่นอนในขณะทีพ
่ ้ดถึงสิง่ ทีเ่ ป็น

อดีต เช่น

I can't imagine why she was late. She might have been delayed
by the rain or
she might have had an accident.
( การคาดคะเนในลักษณะไม่แน่นอนถึงสิง่ ทีเ่ กิดขึน
้ ในอดีตต้องใช้ might + have + Verb 3
นะครับ เพราะผ้้พ้ดพ้ดไปในลักษณะ

วิเคราะห์เหตุการณ์ ซึง่ ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทีผ


่ ้พ้ดได้เห็นมากับตนเอง )

บทที ่ ๓๘
68

Verb : หน้าทีข
่ อง Verb to Have
หน้าทีเ่ ป็นกริยาช่วยของ Verb to Have ( Have, Has, Had )
1. ใช้ใน Perfect Tense โดยนำาหน้ากริยาช่องที ่ 3 ( Past Participle ) เช่น

I have lived in Chiang Mai for ten years.


We have studied French since last year.
2. ใช้ในลักษณะประโยคทีใ่ ช้ให้ผ้อืน
่ กระทำาอย่างใดอย่างหนึง่ แบ่งได้เป็น 2 แบบได้แก่

2.1 เน้นตัวผ้้ทีท
่ ำา จะใช้ร้ปประโยคคือ " Have + Someone ( ผ้้ทำาให้ ) + Verb 1
( without 'to' ) + Something " เช่น

She has her daughter clean her room every week.


หล่อนให้ล้กสาวของหล่อนทำาความสะอาดห้องของล้กหล่อนทุกๆ อาทิตย์

I have Tawatchai wash my car evey Sunday.


ผมให้ธวัชชัยล้างรถของผมทุกๆ วันอาทิตย์

2.2 เน้นสิง่ ของทีถ


่ ้กทำาให้ใช้ " Have + Something ( สิง่ ทีถ
่ ้กทำา ) + Verb 3 " เช่น

I have my car washed every Sunday.


ผมให้เขาล้างรถของผมทุกๆ วันอาทิตย์

He has his gun cleaned.


เขาให้คนอืน
่ ทำาความสะอาดปื นให้

3. Verb to Have เมือ


่ มีคำากริยาบางคำาตามหลัง อาจจะทำาให้กริยาตัวนัน
้ กลายเป็นคำานามขึน
้ มา

ซึง่ จะต้องมี Article ' a ' นำาหน้าอย่้เสมอ

ยกตัวอย่างเช่น have a sleep ( นอนหลับ ), have a walk ( เดินเล่น ), have a


ride ( ขี ่ ), have a drink ( ดืม
่ ), have a swim ( ว่ายนำา
้ ), have a rest (
พักผ่อน ) ซึง่ คำาพวกนีก
้ ็จะมีลักษณะเป็น idiom ต้องใช้วิธีจำาครับผม

4. เมือ
่ Verb to Have นำามาใช้เพือ
่ แสดงลักษณะเฉพาะและความสัมพันธ์ของสิง่ ของนัน
้ ๆ

สามารถใช้ Verb to Be แทนได้ เช่น


69

My house has five windows. There are five windows in my


house.
Her bedroom has two televisions. There are two televisions in
her bedroom.

บทที ่ ๓๙

Verb : หน้าทีข
่ อง Will, Shall
หน้าทีเ่ ป็นกริยาช่วยของ Will และ Shall
ก่อนอืน
่ ต้องขอกล่าวก่อนนะครับ ว่าเรือ
่ ง Will vs Shall ทีจ
่ ะพ้ดในทีน
่ ีผ
้ มอ้างอิงมาจากหลัก

ไวยากรณ์ดัง้ เดิม ซึง่ ไม่เหมือนหลักไวยากรณ์

ในปัจจุบันทีเ่ มือ
่ เราต้องการกล่าวถึงอนาคตกาล ทุกประธานสามารถผันกับ Will ได้หมดนะครับ

===> WILL แปลว่า " จะ " ใช้ทำาหน้าทีช


่ ่วยกริยาหลักตัวอืน
่ เพือ
่ บอกความเป็นอนาคตกาลและ

ใช้กับประธานทีเ่ ป็นบุรุษที ่ 2 คือ You


และบุรุษที ่ 3 คือ He, She, It, และ They ตลอดถึงนามเอกพจน์ พห้พจน์ทัว
่ ไปทีม
่ าเป็นประธาน

ได้ทัง้ สิน
้ เช่น

She will meet her friends at a cafe.


หล่อนจะไปพบเพือ
่ นทีค
่ าเฟ่ แห่งหนึง่

You will be in time if you hurry.


คุณจะทันเวลาหากคุณรีบหน่อย

Richard will arrive in Chiang Mai tomorrow.


ริชาร์ดจะมาถึงเชียงใหม่พรุ่งนี ้

===> SHALL ก็แปลว่า " จะ " ใช้ช่วยกริยาหลักเพือ


่ ทำาให้เป็นอนาคตกาลเช่นเดียวกันกับ will
แต่ใช้กับประธานบุรุษที ่ 1 เท่านัน
้ คือ I และ We เช่น
70

I shall write a letter to her soon.


ผมจะเขียนจดหมายถึงเขาเร็วๆ นี ้

We shall start our journey tomorrow.


พวกเราจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี ้

หมายเหตุ : will และ shall นัน


้ หากใช้สลับประธานกับ นัน
่ คือ will ใช้กับ I และ We ส่วน

shall นำาไปใช้กับประธานทีเ่ หลือแล้ว ย่อมจะมีความหมายพิเศษเกิดขึน


้ ผิดไปจากการใช้ในแบบปรกติ

เพราะแสดงถึงความตัง้ ใจแน่วแน่ทีจ
่ ะทำาการสิง่ นัน
้ ๆ หรือแสดงถึงคำามัน
่ สัญญาหรือแสดงการข่มข่้ เช่น

I will try to do it again.


ผมจะพยายามทำาอีกครัง้ ( แสดงความแน่วแน่ตัง้ ใจ )
If you work well, you shall have higher wages.
ถ้าคุณทำางานดี คุณก็จะได้รับค่าจ้างส้งขึน
้ อีก ( แสดงคำามัน
่ สัญญา )
That boy shall be punished, if he doesn't go to school today.
เด็กคนนัน
้ จะถ้กทำาโทษ ถ้าเขาไม่ไปโรงเรียนวันนี ้ ( แสดงการข่มข่้ )

บทที ่ ๔๐

Verb : หน้าทีข
่ อง Would, Should
การใช้ Would ทำาหน้าทีเ่ ป็นกริยาช่วย

1. ใช้เป็นอดีตของ Will ในประโยคทีเ่ ปลีย


่ นมาจาก Direct Speech เช่น

She said, " I will do it again. "


She said that she would do it again.
2. ใช้ในประโยคเงือ
่ นไข ( Conditional Sentence ) เช่น

If I were you, I would try to do the best.


We would have come if it had not rained.
71

3. ใช้เป็นกริยาร่วมกับ like ในสำานวนการพ้ดเพือ


่ ความสุภาพ ซึง่ แปลว่า " ,
อยากจะ อยากให้ "
เป็นร้ปปัจจุบัน ไม่ใช่อดีตนะครับ เช่น

I would like to meet you on Saturday.


She would like to study Spanish.
4. ใช้ในประโยคคำาถามทีม
่ ีกริยา mind, please เข้ามาร่วม เพือ
่ ความสุภาพในการถามหรือออก

คำาสัง่ เช่น

Would you mind if I smoke? Of course not.


Would you please open that window for me?
5. ให้ใช้ would ( แทน will ) เมือ
่ ผ้้พ้ดไม่แน่ใจคือยังสงวนท่าทีเพือ
่ รอด้ปฏิกิริยาของผ้้ทีต
่ นพ้ด

ด้วยว่า จะเป็นหรือทำาอย่างทีช
่ ักนำาหรือไม่ มักจะใช้ในคำาถามทีต
่ ้องการความสุภาพ เช่น

Would you like to watch this movie?


Would you have some cold drinks?
6. ใช้ในสำานวนการพ้ดว่า " ควรจะ .....ดีกว่า, สมัครใจทีจ
่ ะ .....ดีกว่า " ควบกับ better หรือ

rather ใช้ได้กับทุกพจน์ทุกบุรุษ เช่น

He would better ( rather ) go to meet her today.


Which would you rather have, coffee or tea?
บางทีหลัง better หรือ rather อาจจะมี than มาต่อท้ายก็ได้ เช่น

I would rather die than come back without success.


She would rather walk than run.
การใช้ Should ทำาหน้าทีเ่ ป็นกริยาช่วย

1. ใช้เป็นร้ปอดีตของ Shall ในประโยค Indirect Speech เช่น

He said to me, " You will be able to do it. "


He told me that I should be able to do it.
72

2. Should เมือ
่ แปลว่า " ควรจะ " คือเป็นปัจจุบันกาลใช้ได้กับทุกพจน์ทุกบุรุษ ใช้แสดงถึง

หน้าทีท
่ ีจ
่ ะต้องกระทำา การให้คำาแนะนำา ซึง่ มีความหมายเท่ากับ Ought to โดยเฉพาะภาษาพ้ดมักจะ

ใช้ should มากกว่า เช่น

You should go on a diet.


We should obey our law.
3. ในประโยคทีเ่ ป็นอนาคตกาล ถ้าผ้พ
้ ้ดยังมีความสงสัย ไม่แน่ใจ หรือยังเป็นการคาดหมายอย่้เกีย
่ วกับ

เหตุการณ์หรือพฤติกรรมนัน
้ ๆ ต้องใช้ should ตลอด เช่น

They should be there by 4 o'clock, I think.


ผมคิดว่าพวกเขาจะต้องไปถึงทีน
่ ัน
่ ตอนเวลาบ่าย 4 โมง

4. ใช้ should ในประโยคทีต


่ ามหลัง lest, for fear that, ตลอดไป เช่น

Wanchai studied harder lest he should fail.


วันชัยศึกษาอย่างขะมักเขม้นยิง่ ขึน
้ เผือ
่ ว่าจะได้ไม่ต้องสอบตก

She remained silent for fear that I should hear her.


หล่อนยังคงเงียบอย่้ เพราะเกรงว่าผมจะได้ยินเธอ

5. ใช้ should แทน might กับทุกประธานได้ ในประโยคทีแ


่ สดงจุดมุ่งหมาย โดยมีสันธาน so
that, in order that นำาหน้าประโยค เช่น

I helped him very much so that he should ( might ) succeed.


ผมได้ช่วยเขาอย่างมากทีเดียว ดังนัน
้ เราควรจะประสบความสำาเร็จ

6. ใช้ should have + Verb 3 กับอดีตกาลทีไ่ ม่เกิดขึน


้ จริง ซึง่ ได้ผ่านพ้นมาแล้ว เช่น

Suwat should have studied hard before the exam. ( but he


didn't )
Your report is too late. You should have submitted it by last
Monday.
73

บทที ่ ๔๑

Verb : หน้าทีข
่ อง Can และ Could
หน้าทีข
่ อง Can
Can แปลว่า " สามารถ " ร้ปอดีตของ Can คือ Could กริยาตัวอืน
่ ทีต
่ ามหลัง Can จะต้อง

เป็น Infinitive without "to"


1. ใช้แสดงความเป็นอิสระจากพันธะอืน
่ ๆ เช่น

I can see you tomorrow at 8 o'clock.


พรุ่งนีผ
้ มพบคุณได้เวลา 8 นาฬิกา

2. ใช้แสดงภาวะการรับร้้ซึง่ มิอาจควบคุมได้ เช่น

I can see ( remember, hear, etc. )


ฉันสามารถเห็น ( , ,
จำาได้ ได้ยิน เป็นต้น )
3. ใช้แสดงถึงความสามารถหรือการอนุญาต เช่น

He can drive very far from here.


เขาสามารถขับรถไปได้ไกลจากทีน
่ ี่

You can go whenever you want.


คุณไปได้เมือ
่ ไรก็ได้ตามทีค
่ ุณต้องการ

4. ใช้แสดงถึงพละกำาลัง การฝึ กหัดและการเรียนร้้ เช่น

Can you swim well?


คุณว่ายนำา
้ ได้ดีหรือเปล่า ?
Can you lift that table?
คุณสามารถยกโต๊ะตัวนัน
้ ได้ไหม ?
5. ใช้แสดงถึงสิง่ ทีผ
่ ้พ้ดพ้ดนัน
้ เป็นความจริง หรือเป็นไปได้อย่างแน่นอนโดยปราศจากข้อสงสัย เช่น
74

This can be the answer, I think.


ผมคิดว่านีค
่ อ
ื คำาตอบทีถ
่ ้กต้อง

หน้าทีข
่ อง Could
Could แปลว่า " สามารถ " เป็นร้ปอดีตของ Can ใช้ได้กับทุกพจน์ทุกประธาน กริยาทีต
่ ามหลัง

ต้องเป็น Infinitive without "to"


1. ใช้แสดงความเป็นอิสระจากพันธะอืน
่ ๆ แต่มีความแน่นอนน้อยกว่า Can เช่น

She could see me tomorrow at 8 o'clock, perhaps.


พรุ่งนีเ้ วลา 8 นาฬิกา หล่อนอาจจะพบผมได้

2. ใช้เป็นอดีตของ Can ในประโยค Indirect Speech เช่น

Direct : She said, " I can go there alone. "


Indirect : She said that she could go there alone.
3. ใช้เพือ
่ ขออนุญาตกระทำาการอย่างใดอย่างหนึง่ กับค่้สนทนา ทัง้ นีเ้ พือ
่ เป็นการให้เกียรติกับผ้้ทีเ่ ราพ้ด

ด้วย เช่น

Could I borrow your pencil please?


ผมขอยืมดินสอของคุณหน่อยได้ไหมครับ ?
4. ใช้แสดงถึงความสามารถทีไ่ ด้กระทำาในอดีต เช่น

I could speak German perfectly five years ago.


ฉันสามารถพ้ดภาษาเยอรมันได้ดีเยีย
่ มเมือ
่ 5 ปี ทีแ
่ ล้ว

5. Could ทีน
่ ำามาใช้ในร้ป Could + have + Verb 3 เพือ
่ แสดงถึงความสามารถหรือความ

เป็นไปได้ในอดีตแต่ก็ไม่ได้ใช้ความสามารถนัน
้ เสีย เช่น

I could have lent you the money. Why didn't you ask me?
ผมให้คุณยืมเงินได้ ( แต่ ) ทำาไมคุณถึงไม่เอ่ยปากขอล่ะ ?
75
บทที ่ ๔๒

Verb : หน้าทีข
่ อง Have to, Have got to, Had better
หน้าทีข
่ อง Have to
Have to แปลว่า " ,
ต้อง จำาเป็นต้อง " มีความหมายเช่นเดียวกับ Must ใช้แสดงถึงพันธะหน้าทีท
่ ี่

จำาเป็นต้องกระทำา หลัง Have to จะต้อง

เป็นกริยาช่องที ่ 1 เสมอ ร้ปอดีตคือ Had to


I have to leave now.
ฉันจำาเป็นต้องกลับเดีย
๋ วนี ้

He has to go to school from Monday to Saturday.


เขาจะต้องไปโรงเรียนตัง้ แต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์

หน้าทีข
่ อง Have got to
Have got to แปลเช่นเดียวกับ Have to ซึง่ จะนำามาใช้ในภาษาพ้ดแทน Have to และนิยม

ย่อย Have หรือ Has เข้ากับสรรพนามเลย

หรือย่อเข้ากับ not ในประโยคปฏิเสธ กรณีทำาเป็นประโยคคำาถาม ให้เอา Have หรือ Has ขึน


้ ไป

วางไว้ต้นประโยคได้เลย เช่น

He's got to go. I've got to go.


He hasn't got to go. I haven't got to go.
Has he got to go? Have I got to go?
หน้าทีข
่ อง Had better
Had better ( ให้รวมถึง Had rather, Had sooner ) แปลว่า " ควรจะ .....ดีกว่า "
หลัง had better ต้องตามด้วยกริยาช่องที ่ 1 ใช้ในกรณีทีค
่ ิดว่าจะเป็นการดีทีจ
่ ะกระทำาอย่างหนึง่

อย่างใดหรือ เหมาะสมทีจ
่ ะประกอบกิจนัน
้ ๆ ในเวลานัน
้ แม้จะมีร้ปเป็นอดีต แต่ความหมาย เป็นปัจจุบัน

โดยปรกติเวลาพ้ดจะลดร้ปจาก had เหลือ 'd เข้ากับประธานเสมอ


76

You had better start your work next week.


คุณควรจะเริม
่ งานอาทิตย์หน้าดีกว่า

She had better walk there.


หล่อนควรจะเดินไปทีน
่ ัน
้ ดีกว่า

นอกจากนีแ
้ ล้ว เวลาทำาให้เป็นประโยคปฏิเสธให้เติม NOT ทีห
่ ลัง BETTER นะครับ อย่าเติมทีห
่ ลัง

HAD เด็ดขาด เช่น

She had better not stay here alone. ( ไม่ใช่ She had not better stay
here alone. )
หล่อนไม่ควรพักอย่้ทีน
่ ีต
่ ามลำาพัง

บทที ่ ๔๓

Verb : หน้าทีข
่ อง Must
วิธีการใช้ MUST
1. ใช้เป็นกริยาทีแ
่ สดงคำาสัง่ หรือความจำาเป็นทีจ
่ ะต้องทำา เช่น

You must do as you are told.


คุณจะต้องทำาอย่างทีไ่ ด้รับการบอกมา

We must obey the laws of the country.


พวกเราจะต้องเชือ
่ ฟั งกฎหมายของประเทศ

2. ใช้แสดงความตัง้ ใจหรือความแน่วแน่ของผ้้พ้ด เช่น

I must finish my homework before I go to bed.


ฉันจะต้องทำาการบ้านให้เสร็จก่อนเข้านอน

This must be what he means.


นีจ
่ ะต้องเป็นสิง่ ทีเ่ ขาหมายถึงอย่างแน่นอน
77

3. ใช้แสดงเหตุการณ์หรือพฤติกรรมทีจ
่ ะต้องเกิดขึน
้ กับมนุษย์หรือสิง่ อืน
่ สิง่ ใดซึง่ ไม่สามารถหลีกเลีย
่ ง

ได้ เช่น

Everything must come to an end.


ทุกสิง่ ทุกอย่างต้องมาถึงตอนจบ

Every human being must die.


คนเราทุกคนต้องตาย

4. ใช้แสดงการขอร้อง ( ในสิง่ ทีไ่ ม่อาจหลีกเลีย


่ งได้ ) เช่น

You must tell him I feel sorry for him.


คุณจะต้องบอกเขาด้วยนะว่าผมขอแสดงความเสียใจกับเขาด้วย

You must forgive me for that matter.


คุณจะต้องให้อภัยผมสำาหรับเรือ
่ งนัน

5. ใช้แสดงการกระทำาทีเ่ ป็นหน้าทีโ่ ดยตรง เช่น

Every citizen must help one another in time of war.


ประชาชนทุกคนต้องช่วยกันในยามมีศึกสงคราม

We must pay taxes to our government.


พวกเราจะต้องจ่ายภาษีให้กับรัฐบาล

6. ใช้แสดงการบอกเล่าทีต
่ ้องการความหนักแน่น แต่ไม่ใช่แสดงความจำาเป็น เช่น

He must know that he is a student for this university.


เขาจะต้องร้้ไว้ด้วยว่า เขาเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งนี ้

You must know that my mother is very busy.


คุณต้องร้้ด้วยนะว่า แม่ของผมยุ่งมาก

หมายเหตุ : Must เป็น Present Tense อย่างเดียวเท่านัน


้ ดังนัน
้ หากต้องการทำาให้เป็น

อดีตกาล ( Past Tense ) ให้ใช้ had to แทน


78

และเมือ
่ ต้องการทำาให้เป็นอนาคตกาล ( Future Tense ) ให้ใช้ will have to หรือ

shall have to แทน

บทที ่ ๔๔

Verb : หน้าทีข
่ อง Ought to
วิธีการใช้ Ought to
Ought to แปลว่า " ควรจะ " เป็นกริยาช่วยเพียงอย่างเดียวและมีร้ปเดียวเท่านัน
้ ถ้าต้องการทีจ
่ ะ

ทำาให้เป็นอดีตกาล ต้องใช้เป็น

ought + to have + Verb 3 นอกจากนี ้ ought to ยังมีความหมายเช่นเดียวกับคำาว่า

should แต่ความหมายจะอ่อนกว่าเล็กน้อย

1. ใช้แสดงถึงการกระทำาอันเป็นหน้าทีห
่ รือสมควรทีจ
่ ะกระทำา เช่น

You ought to start your job at once. ( Present )


คุณควรจะเริม
่ งานของคุณเดีย
๋ วนีไ้ ด้แล้ว

He ought to have come here yesterday. ( Past )


เขาควรจะได้มาถึงทีน
่ ีเ่ มือ
่ วานแล้ว

2. ใช้แสดงความคาดคะเนว่า น่าจะเป็นเช่นนัน
้ ได้ เช่น

Our team ought to win the game for today.


ทีมของพวกเราควรจะชนะการแข่งขันวันนี ้

This ought to be what he means.


นีค
่ วรจะเป็นสิง่ ทีเ่ ขาหมายถึง

3. เมือ
่ ทำาเป็นประโยคคำาถามหรือปฏิเสธให้เอา ought ขึน
้ ไปไว้ต้นประโยคเมือ
่ ทำาเป็นคำาถาม และเติม

not ไว้หลัง ought เมือ


่ ทำาเป็นปฏิเสธ เช่น
79

Ought she to forgive me for my fault?


หล่อนควรจะให้อภัยผมหรือสำาหรับความผิดของผม ?
He ought not to smoke a cigarette in a cinema.
เขาไม่ควรจะส้บบุหรีใ่ นโรงภาพยนตร์

บทที ่ ๔๕

Verb : หน้าทีข
่ อง Dare
Dare แปลว่า "กล้า, ท้า " สามารถใช้แบบกริยาแท้ ( Finite Verb ) หรือใช้แบบกริยาช่วย

( Helping Verb ) ก็ได้ครับ

1. กรณีใช้แบบกริยาแท้

1.1 Dare ทีใ่ ช้แบบกริยาแท้ กริยาทีต


่ ามหลังจะต้องเป็นร้ป Infinitive with "to" เสมอครับ

เช่น

They dare us to fight them.


พวกเขาท้าทายพวกเราให้ต่อส้้กับพวกเขา

She dares to swim across that large river.


หล่อนกล้าทีจ
่ ะว่ายข้ามแม่นำา
้ ใหญ่สายนัน

1.2 Dare เมือ


่ ต้องการทำาให้เป็นประโยคคำาถามหรือปฏิเสธ ให้ใช้ Verb to Do เข้ามาช่วย เช่น

เดียวกับกริยาแท้ทัว
่ ๆ ไป เช่น

บอกเล่า He dares to work hard everyday.


คำาถาม Does he dare to work hard everyday?
ปฏิเสธ He doesn't dare to work hard everyday.
2. กรณีใช้แบบกริยาช่วย

2.1 Dare ทีใ่ ช้เป็ยกริยาช่วยนัน


้ กริยาตัวอืน
่ ทีต
่ ามมาจะเป็น Infinitive without "to" และ

ไม่ต้องเติม s แม้จะเป็นประธานเอกพจน์บุรุษทีส
่ าม เช่น
80

He dare visit Thailand alone.


เขากล้ามาเทีย
่ วประเทศไทยคนเดียว

We dare walk to a big jungle.


พวกเรากล้าเดินเข้าไปในป่ าดงดิบใหญ่

2.2 Dare ทีใ่ ช้อย่างกริยาช่วย เมือ


่ ทำาเป็นประโยคคำาถามหรือปฏิเสธ ให้เอา dare ขึน
้ ไปต้น

ประโยคหรือเติม not หลัง dare ได้เลย เช่น

บอกเล่า That boy dare go to be near a tiger.


คำาถาม Dare that boy go to be near a tiger?
ปฏิเสธ That boy daren't go to be near a tiger.

บทที ่ ๔๖

Verb : หน้าทีข
่ อง Need
Need นัน
้ สามารถใช้เป็นกริยาแท้ ( Finite Verb ) หรือใช้เป็นกริยาช่วย ( Helping
Verb ) ก็ได้ ดังนี ้

Need กรณีใช้เป็นกริยาแท้

1. Need ถ้าใช้แบบกริยาแท้ทัว
่ ๆ ไป จะต้องตามด้วย Infinitive with "to" และเมือ
่ ประธาน

เป็นเอกพจน์ ปัจจุบันกาล จะต้องเติม -s ที ่ Need ด้วย และเมือ


่ ต้องการทำาให้เป็นอดีตกาลก็เติม

-ed ที ่ Need ได้เลย เช่น

She needs to go to see a doctor.


หล่อนต้องไปหาหมอ

They needed to come to the meeting yesterday but they didn't.


พวกเขาต้องมาประชุมเมือ
่ วานนีแ
้ ต่พวกเขาก็ไม่ได้มา
81

2. Need ทีใ่ ช้อย่างกริยาแท้เมือ


่ ต้องการทำาให้เป็นประโยคคำาถามหรือประโยคปฏิเสธต้องใช้

Verb to Do เข้ามาช่วย เช่น

บอกเล่า : He needs to work to earn his living.


ปฏิเสธ : He doesn't need to work to earn his living.
คำาถาม : Does he need to work to earn his living.
Need กรณีทีใ่ ช้เป็นกริยาช่วย

1. Need ทีใ่ ช้แบบกริยาช่วย คำากริยาตัวอืน


่ ทีต
่ ามหลังต้องเป็น Infinitive without "to"
และเมือ
่ ประธานเป็นเอกพจน์ ปัจจุบันกาลก็ไม่ต้องเติม -s
( หรือ -ed, -ing ) ใดๆ ทัง้ สิน
้ เช่น

She need hardly do hard work.


เธอแทบจะไม่ได้ทำางานหนักเลย

We need never go to school late.


พวกเราไม่เคยไปโรงเรียนสาย

2. Need ทีใ่ ช้แบบกริยาช่วย ไม่นิยมนำาไปแต่งประโยคหรือพ้ดเป็นประโยคบอกเล่า แต่นิยมใช้เป็น

ประโยคคำาถามและปฏิเสธเท่านัน
้ เช่น

คำาถาม : Need you continue your studies abroad?


คุณต้องการเรียนต่อต่างประเทศหรือ ?
ปฏิเสธ : They needn't smoke cigarettes.
พวกเขาไม่ต้องการส้บบุหรี ่

คำาถาม : Need you marry her next month?


คุณต้องการแต่งงานกับหล่อนเดือนหน้าหรือ ?
ปฏิเสธ : He needn't go to see the movie.
เขาไม่ต้องการไปด้หนัง
82

บทที ่ ๔๗

Verb : หน้าทีข
่ อง Used to
Used to แปลว่า "เคย" มีร้ปเป็น Past Tense เพียงร้ปเดียว จะใช้ในกรณีทีต
่ ้องการจะกล่าว

ถึงการกระทำาทีเ่ ป็นปรกตินิสัยอย่้ชัว
่ ระยะหนึง่ ในอดีต

แต่ปัจจุบันการกระทำาทีก
่ ล่าวถึงนัน
้ มิได้กระทำาหรือเกิดขึน
้ อีกแล้ว เพราะฉะนัน
้ used to จึงต้องใช้

กับเหตุการณ์หรือการกระทำาทีเ่ ป็นอดีตเสมอ ดังนี ้

1. ใช้ used to + Verb 1 เสมอ เมือ


่ กล่าวถึงการกระทำาทีเ่ คยทำาในอดีต เช่น

Joe used to come here very often when he was young.


โจเคยมาทีน
่ ีเ่ ป็นประจำาเมือ
่ ตอนเขาเป็นเด็ก

There used to be a cinema in this street last year.


เคยมีหนังมาฉายทีถ
่ นนสายนีเ้ มือ
่ ปี ทีแ
่ ล้ว

2. Used to เมือ
่ ต้องการทำาเป็นประโยคปฏิเสธ ให้ใช้ did not use to, never used
to, หรือ used not to + Verb 1 ได้ทัง้ นัน
้ เช่น

She did not use to drink whisky so much.


หล่อนไม่เคยดืม
่ เหล้ามากเลย

( did not use to ส่วนมากนิยมใช้เมือ


่ เป็นภาษาพ้ด )
We used not to come late to school.
พวกเราไม่เคยมาโรงเรียนสายเลย

He never used to get up late.


เขาไม่เคยตืน
่ สาย

3. Used to เมือ
่ ทำาเป็นประโยคคำาถามก็จะใช้ Did เข้ามาช่วย เช่น
83

บอกเล่า : Siriwan used to play tennis.


คำาถาม : Did Siriwan use to play tennis?

บทที ่ ๔๘

Sentences : Simple Sentence


Sentence หรือ "ประโยค" นัน
้ หมายถึงกลุ่มคำาหรือข้อความทีม
่ ีใจความสมบ้รณ์ ซึง่ มักจะประกอบ

ไปด้วยส่วนใหญ่ๆ 2 ส่วนด้วยกัน ได้แก่

ภาคประธาน ( Subject ) และ ภาคแสดง ( Predicate ) Sentence ในภาษาอังกฤษ

สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิดด้วยกันคือ

1. Simple Sentence ประโยคใจความเดียว

2. Compound Sentence ประโยคใจความรวม

3. Complex Sentence ประโยคใจความซ้อน

4. Compound-Complex Sentence ประโยคใจความผสม

SIMPLE SENTENCE
Simple Sentence หรือ " เอกัตถประโยค " คือประโยคทีม
่ ีประธานตัวเดียวและกริยาตัวเดียว

เช่น

The little children often buy some toys.


เด็กกลุ่มนัน
้ มักจะซือ
้ ของเล่นเป็นประจำา

Unfortunately, he found his house burned.


โชคร้ายแท้ๆ ทีเ่ ขาพบว่าบ้านของเขาถ้กไฟไหม้

Having finished our dinner, we went to watch TV in the living


room.
เมือ
่ เสร็จจากอาหารคำ่าแล้ว พวกเราก็ไปด้โทรทัศน์ทห
ี ่ ้องรับแขก

( ประโยคทีเ่ ป็น Simple Sentence ถึงแม้ว่าจะมีกริยาหลายตัวก็ตาม แต่กริยาแท้ [ Finite


84

Verb ] มีเพียงตัวเดียวเท่านัน
้ คือ went นอกนัน
้ จะเป็นกริยาไม่แท้ [ Non-finite
Verb ] ทัง้ สิน
้ คือ having finished = participle, to watch = infinitive และ

living = gerund)
Simple Sentence ประกอบไปด้วยประโยคย่อยได้อีก 5 แบบได้แก่

1. ประโยคบอกเล่า ( Declarative Sentence ) เช่น

I live in Chiang Mai.


ผมอย่้เชียงใหม่

2. ประโยคคำาถาม ( Interrogative Sentence ) เช่น

Do you have a pen?


คุณมีปากกาซักด้ามไหม ?
3. ประโยคปฏิเสธ ( Negative Sentence ) เช่น

I can't speak Russian.


ผมพ้ดภาษารัสเซียไม่ได้

4. /
ประโยคขอร้อง คำาสัง่ ( Imperative Sentence ) เช่น

Be quiet in the library.


จงเงียบเมือ
่ อย่้ในห้องสมุด

5. ประโยคอุทาน ( Exclamatory Sentence ) เช่น

How cold it is!


อากาศหนาวอะไรเช่นนี ้

บทที ่ ๔๙

Sentences : Compound Sentence


Compound Sentence
85

Compound Sentence หรือ "อเนกัตถประโยค" หมายถึง ประโยคที ่ Simple


Sentence 2 ประโยคมารวมด้วยกัน ซึง่ จะเชือ
่ มด้วย

Co-ordinator (ตัวประสาน) เป็นแกนสำาคัญ ซึง่ วิธีการเชือ


่ มนัน
้ สามารถทำาได้โดยวิธีดังต่อไปนี ้

1. การเชือ
่ มด้วยเครือ
่ งหมายวรรคตอน

1.1 Semi-colon ( ; ) ใช้เชือ


่ มเมือ
่ เห็นว่าใจความยังต่อเนือ
่ งกันอย่้ไม่อยากทีจ
่ ะขึน
้ ประโยคใหม่

เช่น

จาก James was sick. He didn't work yesterday.


เป็น James was sick; he didn't work yesterday.
1.2 Colon ( : ) และ Dash ( - ) ใช้เชือ
่ มกรณีทีผ
่ ลของประโยคหลังมีสาเหตุมาจากประโยค

ข้างหน้าโดยแท้อย่างแน่นอน เช่น

จาก Pina's car was broken. She didn't come to the party last
night.
เป็น Pina's car was broken: she didn't come to the party last
night.
หรือ Pina's car was broken - she didn't come to the party last
night.
หรือ Pina's car was broken; she didn't come to the party last
night. ก็ได้ครับเพราะใจความต่อเนือ
่ งกัน

1.3 Comma ( , ) เครือ


่ งหมายนีก
้ ็นย
ิ มใช้เพือ
่ กล่าวถึงเหตุการณ์ทีม
่ ีความต่อเนือ
่ งกันครับ เช่น

I looked around here. A was reading, B was drawing, C was


playing football.
ผมมองไปรอบๆ ทีน
่ ี ่ เห็นเอกำาลังอ่านหนังสือ บีกำาลังวาดร้ป ส่วนซีกำาลังเล่นฟุตบอล
86

2. การเชือ
่ มด้วย Co-ordinate Conjunction
การเชือ
่ มด้วยวิธีนีส
้ ามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทด้วยกันครับ คือ

2.1 แบบรวม ( Cumulative ) คือคำาทีม


่ ีความหมายเทียบเท่า and ดังเช่นคำาว่า

and...too, and...also, and also, as well as,


and...as well, both...and, not only...but also เช่น

Maria is beautiful and sexy.


มาเรียสวยและเซ็กซี ่

Maria is beautiful and sexy too.


มาเรียสวยและเซ็กซีด
่ ้วย

Maria is beautiful and sexy also.


มาเรียสวยและก็เซ็กซีด
่ ้วย

Maria is beautiful and also sexy.


มาเรียสวยและก็เซ็กซีด
่ ้วย

Maria is beautiful as well as sexy.


มาเรียสวยพอๆ กันกับเซ็กซี ่

Maria is beautiful and sexy as well.


มาเรียสวยและก็เซ็กซีอ
่ ีกด้วย

Maria is both beautiful and sexy.


มาเรียทัง้ สวยและเซ็กซี ่

Maria is not only beautiful but also sexy.


มาเรียไม่เพียงแต่สวยเท่านัน
้ แต่ยังเซ็กซีอ
่ ีกด้วย

2.2 แบบเลือก ( Disjunctive ) คือคำาทีม


่ ีความหมายเทียบเท่า or ดังเช่นคำาว่า or else,
either...or, neither...nor เช่น

He must go now, or he will miss the train.


เขาจะต้องไปเดีย
๋ วนี ้ มิฉะนัน
้ แล้วเขาจะตกรถไฟ
87

He must do this, or else he'll be punished.


เขาจะต้องทำาสิง่ นี ้ หรือมิฉะนัน
้ แล้วเขาจะถ้กทำาโทษ

Either you or she has to do this.


คุณหรือหล่อนก็ได้ต้องทำาสิง่ นี ้

Neither you nor them have to go to to school on Sunday.


ทัง้ คุณและพวกเขาไม่ต้องไปโรงเรียนวันอาทิตย์

2.3 แบบแยก (Adversative ) คือคำาทีม


่ ีความหมายเทียบเท่า but ดังเช่นคำาว่า while,
whereas, yet, still เช่น

He didn't study hard, but he passed his examination.


เขาไม่ได้เรียนอย่างขะมักเขม้นเท่าไร แต่เขาก็สอบผ่าน

She is very beautiful, while all her sisters are ugly.


หล่อนเป็นคนทีส
่ วยมาก ในขณะทีพ
่ ส
ี ่ าวทุกคนของหล่อนกลับขีเ้ หร่

Wise men love truth, whereas fools shun it.


คนฉลาดรักแต่ความจริง ส่วนพวกโง่ชอบหลีกเลีย
่ ง

She worked well, yet she failed.


หล่อนทำางานดี ถึงกระนัน
้ หล่อนก็ยังประสบความล้มเหลว

The pain was bad, still he did not complain.


ความเจ็บปวดนัน
้ ร้ายแรงมาก ถึงกระนัน
้ เขาก็ไม่บ่น

2.4 แบบเหตุผล ( Illative ) คือคำาทีม


่ ีความหมายเทียบเท่า so ดังเช่นคำาว่า for,
therefore, consequently, accordingly เช่น

It's time to go, so let's start our journey.


ถึงเวลาต้องไปแล้ว ดังนัน
้ พวกเราเริม
่ ออกเดินทางกันเถอะ

I went in, for the door was open.


ผมเข้าไปข้างใน เพราะประต้เปิ ดไว้

He was found guilty; therefore, he was imprisoned.


เมือ
่ พบว่าเขามีความผิด ดังนัน
้ เขาจึงถ้กจำาคุก
88

She was sick; consequently, she didn't go to school.


หล่อนไม่สบาย เพราะฉะนัน
้ หล่อนจึงไม่ไปโรงเรียน

Thomas won the lottery; accordingly, he bought a new car.


โทมัสถ้กล๊อตเตอรี ่ เพราะฉะนัน
้ เขาจึงซือ
้ รถคันใหม่

บทที ่ ๕๐

Sentences : Complex Sentence


Complex Sentence
Complex Sentence หรือ ประโยคความซ้อน หมายถึงประโยคใหญ่ทีป
่ ระกอบขึน
้ มาจาก

ประโยคเล็ก 2 ประโยคโดยประโยคหนึง่ เรียกว่า Main Clause ( ประโยคหลัก ) ส่วนอีก

ประโยคหนึง่ เรียกว่า Subordinate Clause ( อนุประโยค )


This is the house that I bought last year.
This is the house = ประโยคหลัก

that I bought last year = อนุประโยค

ประโยคความซ้อนเหล่านีส
้ ามารถเชือ
่ มได้โดยใช้คำาเชือ
่ มเหล่านี ้

1. ใช้คำาเชือ
่ มเป็น Subordinate Conjunction คือ if, as if (ราวกับว่า), since,
because, that, whether, lest, as, before, after, until, till, though,
although, unless, so that, than, provided, in order that, provided
that, notwithstanding(แต่กระนัน้ ), etc. เช่น

Wait here until I come back.


รออย่ท
้ ีน
่ ีจ
่ นกว่าผมจะกลับมา

He works as if he were a machine.


เขาทำางานราวกับว่าเขาเป็นเครือ
่ งจักร

She said that she would come back soon.


หล่อนพ้ดว่าหล่อนจะกลับมาเร็วๆ นี ้
89

He is unhappy because he is very poor.


เขาไม่มีความสุขเพราะว่าเขายากจนมาก

2. ใช้ Relative Pronoun เป็นคำาเชือ


่ มได้ อันได้แก่ who, whom, whose, which,
that, as , but, what, of which, where เช่น

The tree of which the leaves are yellow is dying.


ต้นไม้ทีม
่ ีใบเหลืองกำาลังจะตาย

There was no one but admired him.


ไม่มีผ้ใดทีจ
่ ะไม่ยกย่องเขา

The woman who came here this morning is my niece.


ผ้ห
้ ญิงทีม
่ าทีน
่ ีเ่ มือ
่ เช้านีเ้ ป็นหลานสาวของผม

She made the same mistakes as her sister did.


หล่อนได้ทำาผิดอย่างเดียวกันกับทีพ
่ ีส
่ าวของหล่อนทำา

He is the first man who has won this kind of prize.


เขาเป็นผ้้ชายคนแรกทีไ่ ด้รับรางวัลนี ้

3. ใช้ Relative Adverb เป็นคำาเชือ


่ ม คือ when, whenever, where, why,
wherever, how เช่น

I don't understand why they have done that.


ผมไม่เข้าใจว่าทำาไมพวกเขาจึงทำาเช่นนัน

Do you know how she did it?


คุณทราบไหมว่าหล่อนทำาได้อย่างไร ?
He will go wherever she lives.
เขาจะไปทีไ่ หนก็ได้ทีห
่ ล่อนอย่้

I don't know when they arrives here.


ฉันไม่ทราบว่าเมือ
่ ไรพวกเขาจะมาถึงทีน
่ ี่
90

บทที ่ ๕๑

Sentences : Compound Complex Sentence


Compound Complex Sentence
หมายถึง ประโยคใหญ่ตัง้ แต่ 2 ประโยคขึน
้ ไปมารวมกันอย่้โดยทีป
่ ระโยคใหญ่ท่อนหนึง่ นัน
้ จะมีประโยค

เล็กแทรกซ้อนอย่้ภายใน เช่น

I saw no one is the house which you had told me about, so I


didn't go in.
ผมไม่เห็นใครอย่้ในบ้านทีค
่ ุณได้บอกให้ผมทราบนัน
้ เลย ดังนัน
้ ผมจึงไม่ได้เข้าไปข้างใน

( ประโยคทีย
่ กมาดังกล่าวจะมีประโยคใหญ่อย่้ 2 ประโยคคือ ประโยคแรกได้แก่ I saw no one
in the house which you had told me about
และประโยคที ่ 2 ได้แก่ so I didn't go in ประโยคแรกนัน
้ จะมีประโยคเล็กแทรกซ้อนอย่ภ
้ ายใน

คือ which you had told me about


ลักษณะประโยคเช่นนีเ้ ราเรียกว่า Compound Complex Sentence )
I couldn't remember what his name is, but I will ask him.
ผมจำาไม่ได้ว่าเขาชือ
่ อะไร แต่ผมจะถามเขาด้อีกครัง้

He lost the radio which he borrowed from me, so he couldn't


face with me again.
เขาทำาวิทยุทีเ่ ขายืมจากฉันไปหาย ดังนัน
้ เขาเลยไม่กล้าส้ห
้ น้าฉัน

บทที ่ ๕๒

Word Building : Common Prefixes (1)


Word Building คือ การสร้างคำาขึน
้ มาใหม่จากฐานเดิม ( Base ) โดยการเติมพยางค์เข้าข้าง

หน้าหรือข้างหลัง
91

พยางค์ทีเ่ ติมข้างหน้าเพือ
่ ให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Prefix ( อุปสรรค )" จะเปลีย
่ น ความ

หมาย ออกไปจากฐานคำาเดิม

พยางค์ทีเ่ ติมข้างหลังเพือ
่ ให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Suffix ( ปัจจัย )" จะเปลีย
่ น Part of
Speech ออกไปจากฐานคำาเดิม

Words are made up of word parts: prefixes, suffixes and roots. A


knowledge of these word parts and
their meanings can help you determine the meanings of
unfamiliar words.
A PREFIX is a syllable that precedes the root or stem and
chages or refines its meaning.

Prefix Meaning Illustration


from, away abduct = lead away, kidnap
ab, abs
from abjure = renounce
ad, ac, af, ag, to, forward adit = entrance
an, ap, ar, as, accord = agreement, harmony
at affliction = distress
aggregation = collection
annexation = addition
apparition = ghost
arraignment = indictment
assumption = arrogance, taking for
granted
92

attendance = presence, the persons


present
ambiguous = of double meaning
ambi both ambivalent = having two conflicting
emotions
anarchy = lack of government
an, a without
amoral = without moral sense
antecedent = preceding event or
word
ante before
antediluvian = ancient (before the
flood)
against, antipathy = hatred
anti
opposite antithetical = exactly opposite
archetype = original
arch chief, first
archbishop = chief bishop
over, bedaub = smear over
be
thoroughly befuddle = confuse thoroughly
bicameral = composed by two
bi two houses (Congress)
biennial = every two years
cata down catastrophe = disaster
cataract = waterfall
93

catapult = hurl (throw down)


circumnavigate = sail around (the
globe)
circumspect = cautious (looking
circum Around
around)
circumscribe = limit (place a circle
around)
combine = merge with
coeditor = joint editor
com, co, col,
with, together collateral = subordinate, connected
con, cor
conference = meeting
corroborate = confirm
contravene = conflict with
contra, contro Against
controversy = dispute
debase = lower in value
de down, away
decadence = deterioration
demi partly, half demigod = partly divine being
dichotomy = division into two parts
di two dilemma = choice between two bad
alternatives
diagonal = across a figure
dia across
diameter = distance across a circle
94

discord = lack of harmony


dis, dif not, apart
differ = disagree (carry apart)
dyslexia = faulty ability to read
dys faulty, bad
dyspepsia = indigestion
expel = drive out
ex, e out
eject = throw out
extracurricular = beyond the
curriculum
beyond, extraterritorial = beyond a nation's
extra, extro
outside bounds
extrovert = person interested chiefly
in external objects and actions
hyperbole = exaggeration
above;
hyper hyperventilate = breathe at an
excessively
excessive rate

บทที ่ ๕๓

Word Building : Common Prefixes (2)


Word Building คือ การสร้างคำาขึน
้ มาใหม่จากฐานเดิม ( Base ) โดยการเติมพยางค์เข้าข้าง

หน้าหรือข้างหลัง

พยางค์ทีเ่ ติมข้างหน้าเพือ
่ ให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Prefix ( อุปสรรค )" จะเปลีย
่ น ความหมาย
95
ออกไปจากฐานคำาเดิม

พยางค์ทีเ่ ติมข้างหลังเพือ
่ ให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Suffix ( ปัจจัย )" จะเปลีย
่ น Part of
Speech ออกไปจากฐานคำาเดิม

Words are made up of word parts: prefixes, suffixes and roots. A


knowledge of these word parts and
their meanings can help you determine the meanings of
unfamiliar words.
A PREFIX is a syllable that precedes the root or stem and
chages or refines its meaning.

Prefix Meaning Illustration


beneath;
hypo hypoglycemia = low blood sugar
lower
inefficient = not efficient
inarticulate = not clear or distinct
in, il, im, illegible = not readable
not
ir impeccable = not capable of sinning;
flawless
irrevocable = not able to be called back
in, il, im, in, on, upon invite = call in
ir illustration = something that makes clear
impression = effect upon mind or feelings
96

irradiate = shine upon


intervene = come between
between,
inter international = between nations
among
interjection = a statement thrown in
intramural = within a school
intra,
within introvert = person who turns within
intro
himself
macrobiotic = tending to prolong life
macro large, long macrocosm = the great world (the entire
universe)
megalomania = delusions of grandeur
mega great, million megaton = explosive force of a million
tons of TNT
involving
meta metamorphosis = change of form
change
microcosm = miniature universe
micro small
microscopic = extremely small
misdemeanor = minor crime; bad conduct
mis bad, improper
mischance = unfortunate accident
mis hatred misanthrope = person who hates
mankind
97

misogynist = woman-hatred
monarchy = government by one ruler
mono one
monotheism = belief in one god
multifarious = having many parts
multi many
multitudinous = numerous
neologism = newly coined word
neo new
neophyte = beginner; novice
non not noncommittal = undecided
obloquy = infamy; disgrace
occlude = clost; block out
ob, oc,
against offend = insult
of, op
opponent = someone who struggles
against; foe
olig few oligarchy = government by a few
panacea = cure-all
pan all, every panorama = unobstructed view in all
directions
beyond, parallel = similar
para
related paraphrase = restate; translate
through, permeable = allowing passage through
per
completely pervade = spread throughout
peri around, near perimeter = outer boundary
98

periphery = edge
poly many polyglot = speaking several languages

บทที ่ ๕๔

Word Building : Common Prefixes (3)


Word Building คือ การสร้างคำาขึน
้ มาใหม่จากฐานเดิม ( Base ) โดยการเติมพยางค์เข้าข้าง

หน้าหรือข้างหลัง

พยางค์ทีเ่ ติมข้างหน้าเพือ
่ ให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Prefix ( อุปสรรค )" จะเปลีย
่ น ความหมาย

ออกไปจากฐานคำาเดิม

พยางค์ทีเ่ ติมข้างหลังเพือ
่ ให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Suffix ( ปัจจัย )" จะเปลีย
่ น Part of
Speech ออกไปจากฐานคำาเดิม

Words are made up of word parts: prefixes, suffixes and roots. A


knowledge of these word parts and
their meanings can help you determine the meanings of
unfamiliar words.
A PREFIX is a syllable that precedes the root or stem and
chages or refines its meaning.
Prefix Meaning Illustration
post after posthumous = after death
preamble = introductory statement
pre before
premonition = forewarning
prim first primordial = existing at the dawn of time
primogeniture = state of being the first
99

born
forward, in favor propulsive = driving forward
pro
of proponent = supporter
proto first prototype = first of its kind
pseudo false pseudonym = pen name
reiterate = repeat
re again, back
reimburse = pay back
retrospect = looking back
retro backward
retroactive = effective as of a past date
secede = withdraw
se away, aside
seclude = shut away
semi half, partly semiconscious = partly conscious
sub, subjugate = bring under control
suc, succumb = yield; cease to resist
suf, suffuse = spread through
under, less
sug, suggest = hint
sup, suppress = put down by force
sus suspend = delay
super, supernatural = above natural things
over, above
sur surtax = additional tax
syn, with, together synchronize = time together
sym, sympathize = pity; identify with
100

syllogism = explanation of how ideas


syl, sys relate
system = network
telegraphic = communicated over a
tele far
distance
trans across transport = carry across
beyond,
ultra ultracritical = exceedingly critical
excessive
un not unkempt = not combed; disheveled
under below underling = someone inferior
unison = oneness of pitch; complete
uni one
accord
viceroy = governor acting in place of a
vice in place of
king
with away, against withstand = stand up against; resist

บทที ่ ๕๕

Word Building : Common Suffixes


Word Building คือ การสร้างคำาขึน
้ มาใหม่จากฐานเดิม ( Base ) โดยการเติมพยางค์เข้าข้าง

หน้าหรือข้างหลัง

พยางค์ทีเ่ ติมข้างหน้าเพือ
่ ให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Prefix ( อุปสรรค )" จะเปลีย
่ น ความหมาย

ออกไปจากฐานคำาเดิม
101

พยางค์ทีเ่ ติมข้างหลังเพือ
่ ให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Suffix ( ปัจจัย )" จะเปลีย
่ น Part
of Speech ออกไปจากฐานคำาเดิม

A SUFFIX is a syllable that is added to a word. Occasionally, it


changes the meaning of the word;
more frequently, it serves to change the grammatical form of the
word (noun to adjective,
adjective to noun, noun to verb).
Suffix Meaning Illustration
able, capable of (adjective portable = able to be carried
ible suffix) legible = able to be read
cardiac = pertaining to the
like, pertaining to heart
ac, ic
(adjective suffix) aquatic = pertaining to the
water
acious, audacious = full of daring
full of (adjective suffix)
icious avaricious = full of greed
maniacal = insane
pertaining to (adjective or
al final = pertaining to the end
noun suffix)
logical = pertaining to logic
ant, ent full of (adjective or noun eloquent = pertaining to fluid,
suffix) effective speech
suppliant = pleader (person
102

full of requests)
verdant = green
dictionary = book connected
like, connected with with words
ary
(adjective or noun suffix) honorary = with honor
luminary = celestial body
consecrate = to make holy
enervate = to make weary
ate to make (verb suffix)
mitigate = to make less
severe
exasperation = irritation
ation that which is (noun suffix)
irritation = annoyance
democracy = government
cy state of being (noun suffix) ruled by the people
obstinacy = stubbornness
mutineer = person who rebels

eer, er,
person who (noun suffix) lecher = person who lusts
or
censor = person who deletes
improper remarks
escent becoming (adjective suffix) evanescent = tending to
vanish
103

pubescent = arriving at
puberty
making, doing (adjective terrific = arousing great fear
fic
suffix) soporific = causing sleep
magnify = enlarge
fy to make (verb suffix)
pertrify = turn to store
pestiferous = carrying disease
producing, bearing
iferous
(adjective suffix) vociferous = bearing a loud
voice
puerile = pertaining to a boy
pertaining to, capable of
il, ile or child
(adjective suffix)
civil = polite
monotheism = belief in one
doctrine, belief (noun god
ism
suffix) fanaticism = excessive zeal;
extreme belief
realist = one who is realistic
ist dealer, doer (noun suffix) artist = one who deals with
art
ity state of being (noun suffix) credulity = state of being
unduly willing to believe
104

sagacity = wisdom
quantitative = concerned with
ive like (adjective suffix) quantity
effusive = gushing
harmonize = make
harmonious
ize, ise to make (verb suffix)
enfranchise = make free or
set free
ovoid = like an egg
anthropoid = resembling a
resembling, like (adjective
oid human being
suffix)
spheroid = resembling a
sphere
ose full of (adjective suffix) verbose = full of words
psychosis = diseased mental
condition
osis condition (noun suffix)
hypnosis = condition of
induced sleep
nauseous = full of nausea
ous full of (adjective suffix)
ludicrous = foolish
fortitude = state of strength
tude state of (noun suffix)
certitude = state of sureness
105

บทที ่ ๕๖

Preposition : On
Preposition คือ คำาทีท
่ ำาหน้าทีเ่ ชือ
่ มหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun กับ

noun, verb กับ noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ

pronoun
การใช้ ON
1). "on" ในความหมายแปลว่า "บน, ช้างบน " เพือ
่ แสดงตำาแหน่ง (Position) เช่น

He sits on the sofa. เขานัง่ บนโซฟา

The teacher writes on the blackboard. คุณคร้เขียนบนกระดาน

The table is on the floor. โต๊ะอย่้บนพืน


2). "on" ใช้บอกเวลาทีเ่ ป็นชือ


่ ของวันหรือวันทีแ
่ ละวันสำาคัญๆ เพือ
่ บ่งบอกเวลา เช่น on
Monday, on June 18, on King's Birthday
Her birthday is on September 19th. เธอเกิดวันที ่ 19 กันยายน

I went to Chiang Mai on Saturday. ผมไปเชียงใหม่เมือ


่ วันเสาร์

3). "on" ใช้นำาหน้าชือ


่ ถนนเพือ
่ แสดงสถานที ่ เช่น

His house is on Charoen Krung Road. บ้านของเขาอย่้ถนนเจริญกรุง

The post office is on Wireless Road. ทีท


่ ำาการไปรษณีย์อย่้บนถนนวิทยุ

4). "on" ใช้กับยานพาหนะทีไ่ ม่มีอะไรปิ ดบัง เช่น on a bicycle, on a horse, on a


motorcycle เป็นต้น

คำาต่อไปนีต
้ ้องมี "on" อย่้เสมอนะครับ ^_^
based on = อาศัยรากฐานจาก call on = เยีย
่ ม
106

comment on = วิจารณ์ congratulation on = แสดงความยินดี

count on = มุ่งหวัง depend on = ขึน


้ อย่้กับ

live on = มีชีวิตอย่้ได้ด้วย spend on = ใช้ (เวลา, วัน )


decide on = ตัดสินใจ insist on = รบเร้า

on fire = กำาลังไหม้ on purpose = โดยจงใจ

on business = ด้วยเรือ
่ งการค้า on the other hand = อีกนัยหนึง่

on pleasure = เพือ
่ ความสนุก on the contrary = โดยทางกลับกัน

on holiday = ในวันหยุดงาน on the whole = กล่าวโดยรวม

on vacation = ในวันหยุด on no account = ไม่ว่าอะไระเกิดขึน


on duty = ปฏิบัติหน้าที ่ on second thoughts = เมือ


่ คิดอีกทีหนึง่

on watch = กำาลังเฝ้ า on the overage = โดยส่วนเฉลีย


on guard = เข้าเวรยาม on leave = อย่ร


้ ะหว่างการลาพัก

on a visit = อย่้ระหว่างการเยีย
่ ม on one's way = อย่้ระหว่างเดินทาง

on a journey = อย่ร
้ ะหว่างการเดินทาง on foot = โดยเท้า

on sale = ลดราคา on time = ตรงเวลา

on horseback = โดยขีม
่ ้า on my account = เกีย
่ วกับฉัน

บทที ่ ๕๗

Preposition : In
107

Preposition คือ คำาทีท


่ ำาหน้าทีเ่ ชือ
่ มหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun
กับ noun, verb กับ noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ

pronoun
การใช้ IN
1). "in" ,
ในความหมายแปลว่า ใน ภายใน หรือ ในสถานที ่ เช่น

Fish live in the water. ปลาอาศัยอย่้ในนำา


He works in a laboratory. เขาทำางานในห้องทดลอง

Put it in the box, please. โปรดเอามันใส่ไว้ในกล่อง

2). "in" ใช้บอกเวลาทีเ่ ป็นชือ


่ เดือน ปี ฤด้กาล และส่วนแบ่งภาคของวัน เช่น in the morning,
in the afternoon, in April, in spring เป็นต้น

We will take an examination in March. พวกเราจะสอบในเดือนมีนาคม

It is very hot in April. อากาศร้อนมากในเดือนเมษายน

It is very hot in summer. อากาศร้อนมากในฤด้ร้อน

I was born in B.E. 2522. ผมเกิดปี พ ศ. . 2522


I like to go shopping in the afternoon. ฉันชอบไปเดินช้อปปิ ้ งในตอนบ่าย

3). "in" นำาหน้าชือ


่ เมืองหลวง รัฐ หรือประเทศ เพือ
่ แสดงสถานที ่ เช่น in Paris, in
Singapore, in Thailand เป็นต้น

Mr. Wolfgang's office is in Berlin. สำานักงานของคุณว้ลฟ์ กังอย่้ในกรุงเบอร์ลิน

Thais live in Thailand. คนไทยอาศัยอย่้ในประเทศไทย

คำาต่อไปนีต
้ ้องมี "in" อย่้เสมอนะครับ ^_^
persist in = ยืนกราน involved in = เข้าไปมีส่วนร่วม

succeed in = ได้รับความเข้าใจ interested in = สนใจใน


108

engage in = มีธุระอย่้กับ fail in = ,


สอบตก ล้มเหลว

encourage in = สนับสนุน dress in = สวมชุด , แต่งด้วย

believe in = มีความเชือ
่ มัน ,
่ ใน นับถือ absorb in = สนใจมาก ครำ่าเคร่ง ,
in a way (in some way) = โดยวิธีใดวิธี
share in = ส่วนแบ่งใน
หนึง่

in other words = กล่าวอีกอย่างหนึง่ in work = มีงานทำา

in itself = ในตัวมันเอง in turn = ,


ทีละคน ตามวาระ

in need = ในความต้องการ in general = โดยทัว


่ ๆ ไป

in love = หลงรัก in all likelihood = ทุกวิธีทีน


่ ่าจะเป็นไปได้

in danger = ตกอย่้ในอันตราย in a word = โดยคำาๆ เดียว

in difficulties = ตกอย่้ในความลำาบาก in brief = โดยย่อๆ

in debt = มีหนีส
้ ิน in a sense = ในความหมายหนึง่

in time = ทันเวลา in particular = โดยเฉพาะ

in secret = เป็นความลับ in fact = ตามความเป็นจริง

in private = เป็นการส่วนตัว in some cases = ในบางกรณี

in public = ต่อหน้าสาธารณชน in that case = ในทุกกรณี

in a hurry = โดยรีบด่วน in any case = ในทุกกรณี

in play = โดยเล่นๆ in all = ,


โดยทัง้ หมด ทัง้ หมด

in fun = เพียงสนุกๆ in tears = ด้วยนำา


้ ตา

in common = มีส่วนร่วมกัน in sight = อย่้ในระยะทีม


่ องเห็น

บทที ่ ๕๘

Preposition : At
109

Preposition คือ คำาทีท


่ ำาหน้าทีเ่ ชือ
่ มหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun
กับ noun, verb กับ noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ

pronoun
การใช้ AT
1). "at" แปลว่า ที ่ แสดงตำาแหน่ง (position) เช่น at home, at the railway
station, at school, at the theatre เป็นต้น

We meet him at the bus station. พวกเราพบเขาทีส


่ ถานีรถประจำาทาง

Pannee worked at home last Sunday. พรรณีทำางานทีบ


่ ้านเมือ
่ วันอาทิตย์ทีแ
่ ล้ว

2). "at" นำาหน้าบ้านเลขที ่ แสดงสถานที ่ (place) เช่น

I live at 29/9 Charoen Krung Road. ผมอาศัยอย่้เลขที ่ 29/9 ถนนเจริญกรุง

The teacher's house is at 14 Soi Rang Nam. บ้านของคุณคร้อย่้เลขที ่ 14


ซอยรางนำา

3). "at" นำาหน้าเพือ


่ บ่งบอกเวลา (time) เกีย
่ วกับชัว
่ โมงและเพือ
่ บ่งบอกเวลาเฉพาะเจาะจง เช่น

at noon, at 6 o'clock, at breakfast


He wakes up at 6 o'clock everyday. เขาตืน
่ นอน 6 โมงเช้าทุกวัน

We will have a tea-party at 4.30 p.m. พวกเราจะจัดงานเลีย


้ งนำา
้ ชาตอน

16.30 น.
คำาต่อไปนีต
้ ้องมี "at" อย่้เสมอนะครับ ^_^

aim at = เล็งไปที ่ stay at = พักอย่้ที ่

knock at = เคาะ ทุบ, good at = เก่งในทาง

surprised at = ประหลาดใจ amused at = เพลิดเพลินกับ

at heart = โดยสันดาจ (ในใจ) at a loss = งง, ขาดทุน


110

at first sight = เมือ


่ แรกพบ at will = ตามใจ , ตามความต้องการ

at a profit = ได้กำาไร at church = อย่ท


้ ีโ่ บสถ์

at this, at that = ,
ด้วยเหตุนี ้ นัน
้ at length, at last = ในทีส
่ ุด

at ease = พักเหนือ
่ ย at home = อย่ท
้ ีบ
่ ้าน

at hand = อย่แ
้ ค่เอือ
้ ม at peace = ในยามสงบ

at all costs = จะเสียเท่าไรก็ตาม at war = ในยามสงคราม

at first = เริม ,
่ แรก ครัง้ แรก at play = ,
ขณะเล่น กำาลังเล่น

at once = ,
ทันที เดีย
๋ วนี ้ at rest = ขณะพักผ่อน

at least = อย่างน้อยทีส
่ ุด at short notice = เพียงแวบเดียว

at most = อย่างมากทีส
่ ุด at breakfast = ขณะรับประทานอาหารเช้า

at best = อย่างดีทีส
่ ุด at dinner = ขณะรับประทานอาหารเย็น

at worst = อย่างแย่ทส
ี ่ ุด at work = ขณะทำางาน

at present = ปัจจุบันนี ้ at sight = เมือ


่ มองเห็น

at all events = ถึงจะอย่างไรก็ตาม at any rate = อย่างไรก็ตาม

at a pinch = แทบเลือดตากระเด็น at the same time = พร้อมกัน

at school = เรียนหนังสือ at a time = ,


พร้อมกัน คราวเดียวกัน

at sea = อย่ท
้ ีท
่ ะเล at times = ,
บางครัง้ บางเวลา
111
บทที ่ ๕๙

Preposition : By
Preposition คือ คำาทีท
่ ำาหน้าทีเ่ ชือ
่ มหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun กับ

noun, verb กับ noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ

pronoun
การใช้ BY
แปลว่า "เมือ่ ถึง" ให้หลังกริยาใดๆ หมายความว่า การกระทำานัน
้ จะมีขึน
้ เมือ
่ ถึงเวลานัน
้ เช่น

He will finish it by next week. เขาจะทำาเสร็จเมือ


่ ถึงสัปดาห์หน้า

She wll arrive here by nine o'clock. หล่อนจะมาถึงทีน


่ ีเ่ มือ
่ ถึงเวลา 9 นาฬิกา

นอกจากนีอ
้ าจจะแปลได้ว่า "ข้างๆ, , , ,
ใกล้ โดย ด้วย ผ่านไป ตาม , " สามารถใช้กับสถานทีไ่ ด้ เช่น

by the bridge (ข้างสะพาน), by the side of the road (ทีข่ ้างๆ ถนน )
การใช้ BY ทีน
่ ่าสนใจ

1. to go by the board = ,
ถ้กยกเลิก ล้มเหลว

2. to go by the book = ทำาไปตามแบบอย่างทีท


่ ำากันโดยทัว
่ ไป

3. to pay by check = จ่ายเงินโดยการใช้เช็ค

4. by chance = โดยบังเอิญ

5. to play music by ear = เล่นดนตรีโดยไม่ใช้โน้ต

6. to do something by fits and starts = ไม่เป็นไปตามระบบ

7. by force = ด้วยการใช้กำาลัง

8. by good fortune = ด้วยความโชคดี ฟลุก ,


9. to learn/know something by heart = จำาได้ขึน
้ ใจ

10. to travel by land/sea/air = /


เดินทางไปทางบก ทางทะเล ทางอากาศ /
11. to do something by leaps and bounds = ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
112

12. by the look of it = ตัดสินใจโดยการพิจารณาจากร้ปร่าง หน้าตา ,


13. related by marriage = เกีย
่ วพันกันด้วยการแต่งงาน

14. by all means = ,


ทุกชนิด อย่างแน่นอน

15. by no means = ห้ามเด็ดขาด

16. to know someone by name = ร้้จักแต่ชือ


17. by nature = ตามธรรมชาติ

18. to communicate by radio = ติดต่อทางวิทยุ

19. to do something by stages = ,


ทำาตามลำาดับ ทำาทีละขัน

20. to do something by turn = ผลัดกันทำา

21. to do something by oneself = ทำาด้วยตนเอง

22. to sell something by weigh = ขายโดยการชัง่ นำา


้ หนัก

23. it's 8 o'clock by my watch = นาฬิกาของผมเวลา 8 นาฬิกา

24. a room twenty feet by fifteen = ห้องขนาด 20 x 15 ฟุต

25. too long by two yards = ยาวเกินไป 2 หลา

26. greater by half = ใหญ่เกินไปครึง่ หนึง่

27. older by five years = แก่กว่า 5 ปี

28. to sit by oneself = นัง่ อย่ค


้ นเดียว

29. The clock stopped by itself. = นาฬิกาหยุดเดินเอง

คำาต่อไปนีต
้ ้องนำาหน้าด้วย "BY" นะครับ ^_^
by ship = โดยทางเรือ by car = โดยรถยนต์

by plane = โดยเครือ
่ งบิน by bus = โดยรถประจำาทาง

by letter = โดยทางจดหมาย by post = โดยทางไปรษณีย์


113

by accident = โดยบังเอิญ by good fortune = โดยโชคดี

by luck = ด้วยโชค by-self = โดยลำาพัง

by rights = โดยแท้จริง by degrees = ทีละเล็กละน้อย

by hand = โดยส่งให้ด้วยมือ by sight = เห็นมากับตา

by cable = โดยทางโทรเลข by telegram = โดยทางโทรเลข

by design = โดยวางแผนมาก่อน by mistake = โดยหลงผิด

by far = อย่างมาก ( สุดยอด ) by day = ในเวลากลางวัน

บทที ่ ๖๐

Preposition : Out of
Preposition คือ คำาทีท
่ ำาหน้าทีเ่ ชือ
่ มหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun กับ

noun, verb กับ noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ

pronoun
การใช้ OUT OF
"out of" ,
แปลว่า ออกจาก จาก นอก เนือ , ,
่ งจาก ใช้กับกริยาทีแ
่ สดงอาการเคลือ
่ นทีอ
่ อกจาก ซึง่

ตรงข้ามกับคำาว่า "into" เช่น

I went out of the classroom. ฉันออกจากห้องเรียน

Bring all the things out of the box. เอาของทัง้ หมดออกมาจากกล่อง

การใช้ OUT OF ทีน


่ ่าสนใจ

to come out of the blue = โดยไม่คาด to get out of someone's cluthes


คิด (unexpectedly) = หนีออกจากอิทธิพลหรืออำานาจ

out of condition = ,
ไม่เหมาะ ผิดเงือ
่ นไข out of crop = พ้นฤด้พืชผล
114

out of danger = พ้นอันตราย out of debt = หมดหนี ้

out of door = นอกบ้าน หมดสมัย, out of fashion = ไม่ทันแฟชัน


่ ,
หมดสมัย

to jump out of the frying-pan into


out of one's grasp = หาไม่ได้
the fire = หนีเสือปะจระเข้

out of hand = ควบคุมไม่ได้ out of humour = อารมณ์เสีย

out of luck = โชคไม่ดี out of office = พ้นจากหน้าที ่

time out of mind = นานมาแล้ว out of position = ไม่ถ้กต้องกับตำาแหน่ง

out of place = ไม่เหมาะสม out of sight = พ้นสายตา

out of temper = อารมณ์เสีย out of town = ไปนอกเมือง

out of use = ไม่ได้ใช้แล้ว out of work = ตกงาน , ไม่มีงานทำา

out of breath = แทบขาดใจ out of hearning = พ้นระยะได้ยิน

out of reach = เอือ


้ มไม่ถึง out of question = นอกประเด็น

out of ordinary = ผิดจากธรรมดา out of practice = ขาดการฝึ กฝน

out of date = ,
พ้นสมัย ล้าสมัย out of turn = ,
ผิดรอบ ผิดวาระ

out of stock = หมดสต๊อก out of repair = แก้ไขไม่ได้

out of control = ควบคุมไม่ได้

บทที ่ ๖๑

Preposition : With
Preposition คือ คำาทีท
่ ำาหน้าทีเ่ ชือ
่ มหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun กับ

noun, verb กับ noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ

pronoun
115

การใช้ WITH
"with" มักใช้แสดงถึงเครือ
่ งมืออุปกรณ์ เช่น

He had breakfast with spoon.


เขารับประทานอาหารเช้าด้วยช้อน

My friend shot the bird with gun.


เพือ
่ นของผมยิงนกด้วยปื น

การใช้ with ทีน


่ ่าสนใจ

to do something with care = ทำาด้วยความระมัดระวัง

to do something with difficulties = ทำาด้วยความยากลำาบาก

to do something with pleasure = ด้วยความยินดี

to do something with had good grace = ทำาด้วยความเต็มใจ

to do something with a will = ทำาอย่างกระตือรือล้น

to pass an examination with credit = ทำาได้ดีเป็นทีเ่ ชือ


่ ถือ

to do something with the intention = ทำาด้วยความตัง้ ใจ

to do something with purpose/aim = ทำาด้วยมีจุดประสงค์

กริยาทีต
่ ้องตามด้วย "with" เสมอ

angry with = ,
โกรธ โมโห covered with = ปกคลุมด้วย

agree with = เห็นด้วย pleased with = ร้้สึกพอใจกับ

communicate with = ติดต่อกับ compete with = แข่งขันกับ

satisfied with = พอใจกับ interfere with = ก่อกวน

compare with = เปรียบเทียบกับ confuse with = สับสนกับ


116

บทที ่ ๖๒

Preposition : Before & After


Preposition คือ คำาทีท
่ ำาหน้าทีเ่ ชือ
่ มหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun กับ

noun, verb กับ noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ

pronoun
การใช้ BEFORE
before , ,
แปลว่า ก่อน ก่อนหน้า มาก่อน ตรงหน้า , , ต่อหน้า

1). ใช้ before กับเวลา เช่น

before breakfast = ก่อนอาหารเช้า

before Christmas = ก่อนคริสต์มาส

to come before time = มาก่อนเวลา

2). ใช้ before แสดงถึงการเรียงลำาดับ เช่น

A comes before B = อักษร A มาก่อนอักษร B


ladies before gentlemen = สุภาพสตรีก่อนสุภาพบุรุษ

3). before ใช้ในความหมายว่า "ต่อหน้า" เช่น

to appear before a magistrate/judge = ปรากฏตัวต่อหน้าผ้้พิพากษา

การใช้ AFTER
after ,
แปลว่า ภายหลัง หลังจาก

1. She arrived here after us. เธอมาถึงทีน


่ ีห
่ ลังพวกเรา

2. The students go to school after breakfast. นักเรียนไปโรงเรียนหลังจากรับ

ประทานอาหารเช้าแล้ว

การใช้ after ทีน


่ ่าสนใจ
117

after lunch/dinner = หลังอาหารกลางวัน เย็น /


after dark = หลังจากมืด

time after time = ทำาซำา


้ ๆ ( ครัง้ แล้วครัง้ เล่า )
after consultation with someone = หลังจากทีป
่ รึกษากับ .....
a paint after Reynold = ภาพวาดในสไตล์ของเรโนลด์

to do something after a fashion = ทำาด้วยท่าทางไม่พอใจ

a man/woman after one's own heart = คนทีถ


่ ือว่าตัวเองถ้ก

บทที ่ ๖๓

Preposition : Of
Preposition คือ คำาทีท
่ ำาหน้าทีเ่ ชือ
่ มหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun กับ

noun, verb กับ noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ

pronoun
การใช้ OF
(1). ใช้ of ในความหมายถึงเป็นสาเหตุของเหตุการณ์นัน
้ ๆ เช่น

to die of hunger/starvation/explosure = /
ตายด้วยความหิวโหย ความอดอยาก

to happen of itself = เกิดขึน


้ โดยไม่มีสาเหตุจากภายนอก

( The fire must broken out of itself. = ไฟเกิดขึน


้ เอง )
(2). ใช้ of เพือ
่ แสดงถึงลักษณะของคน เช่น

a man of courage/distinction/many talents = ,


ชายผ้้กล้าหาญ ชายผ้้มี

ลักษณะพิเศษ , ชายมีความสามารถพิเศษหลายด้าน

a man of means = ชายรำ่ารวย


118

(3). ใช้ of เพือ


่ แสดงถึงในความหมายว่า

made of silver = ทำาด้วยเงิน

a table of solid wood = โต๊ะทำาด้วยไม้เนือ


้ แข็ง

a crown of gold = มงกุฎทอง

(4). ใช้ of เพือ


่ แสดงถึงปริมาณหรือการวัดสิง่ ของ เช่น

an acre of land = ทีด


่ ิน 1 เอเคอร์

a pound of apples = แอปเปิ ้ ล 1 ปอนด์

a box of matches = ไม้ขีดกล่องหนึง่

a book of stamps = หนังสือแสตมป์

(5). ใช้ of นำาหน้านามเพือ


่ แสดงการเป็นเจ้าของ เช่น

the capital of France = เมืองหลวงของฝรัง่ เศส

the city of London = เมืองแห่งกรุงลอนดอน

a native of Korea = พลเมืองของเกาหลี

the inhabitants of Rome = พลเมืองชาวโรม

กริยาทีต
่ ้องตามด้วย "OF" เสมอ

afraid of = กลัว ashamed of = ละอายใจ

careful of = ระมัดระวัง complain of = บ่น

compose of = ประกอบด้วย consist of = ประกอบด้วย

full of = เต็มไปด้วย proud of = ภ้มิใจ

sure of = เชือ
่ แน่ suspect of = สงสัย

approve of = เห็นชอบด้วยกับ cure of = รักษาให้หาย


119

complain of = บ่นถึง accuse of = กล่าวหาว่า

get rid of = กำาจัดให้พ้น tired of = เบือ


่ ต่อ

dream of = ฝั นถึง think of = คิดถึง

You might also like