สูตร English-Grammar
สูตร English-Grammar
สูตร English-Grammar
INDEX
Chapter 1 == If-Clause ( ประโยคเงือ
่ นไข ) ==
Chapter 2 == Question Tag ==
Chapter 3 == Tenses (1) Present Simple Tense ==
Chapter 4 == Tenses (2) Present Continuous Tense ==
Chapter 5 == Tenses (3) Past Simple Tense ==
Chapter 6 == Tenses (4) Present Perfect Tense ==
Chapter 7 == Tenses (5) Future Simple Tense ==
Chapter 8 == Singular and Plural ==
Chapter 9 == Tenses (6) Past Continuous Tense ==
Chapter 10 == Tenses (7) Present Perfect Continuous Tense ==
Chapter 11 == Tenses (8) Past Perfect Tense ==
Chapter 12 == Tenses (9) Future Perfect Tense ==
Chapter 13 == Errors in Tenses (1) ==
Chapter 14 == Errors in Tenses (2) ==
Chapter 15 == Indirect Speech : Introduction ==
Chapter 16 == Indirect Speech : หลักการเปลีย
่ น ==
Chapter 17 == Indirect Speech : ประโยคคำาสัง่ หรือประโยคขอร้อง ==
Chapter 18 == Indirect Speech : ประโยคคำาถาม ==
Chapter 19 == Indirect Speech : ประโยคทีใ่ ช้ LET'S ==
2
Passive ใน 12 Tenses ==
Chapter 27 == Passive Voice : คำากริยาทีไ่ ม่สามารถทำาเป็นประโยค Passive ได้
==
Chapter 28 == Passive Voice : ประโยคคำาถาม ==
Chapter 29 == Passive Voice : ประโยคคำาสัง่ ==
Chapter 30 == Passive Voice : ประโยคทีไ่ ม่ต้องการ by ==
Chapter 31 == Passive Voice : กรณีมีกรรม 2 ตัว ===
Chapter 32 == Passive Voice : กรณีมีกริยาช่วย ( Helping Verbs ) ===
Chapter 33 == Passive Voice : กรณีอืน
่ ๆ ===
Chapter 34 == Verb : Introduction ===
Chapter 35 == Verb : หน้าทีข
่ อง Verb to Be ===
Chapter 36 == Verb : หน้าทีข
่ อง Verb to Do ===
Chapter 37 == Verb : หน้าทีข
่ อง May, Might ===
Chapter 38 == Verb : หน้าทีข
่ อง Verb to Have ===
3
บทที ่ ๑ ( Chapter 1 )
ประโยคเงือ
่ นไข ( If-Clause )
If -Clause หรือทีเ่ ราร้้จักกันดีในภาษาไทยว่า " ประโยคเงือ
่ นไข ( Conditional
Sentence ) " นัน
้ นะครับ ถ้าหากจะแบ่งหลักๆ จริงๆ ละก็ ผมขอแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ เลย
นะครับ ( นักเรียนทีน
่ ่ารักของผม กรุณาอย่าเพิง่ ง่วงหาวนอนไปก่อนนะครับผมจะอธิบายไม่เยิน
่ เย้อหรอก
If-Clause เนีย
่
แบบที ่ 1 การใช้เงือ
่ นไขทีจ
่ ะเป็นจริง ( Future Possible )
If + Present Simple Tense + Subj. + will + V1
แบบนีน
้ ะครับ ใช้สำาหรับเหตุการณ์ทีผ
่ ้พ้ดแน่ใจว่า เงือ
่ นไขนัน
้ จะเป็นจริง ผลทีจ
่ ะเกิดก็จะเกิดขึน
้ ตามมา
อย่างแน่นอน
( ผ้้พ้ดมัน
่ ใจว่า ถ้าหล่อนรีบก็จะทันเวลาอย่างแน่นอน )
แบบที ่ 2 การใช้เงือ
่ นไขทีไ่ ม่เป็นจริง ( Present Unreal )
5
( ความจริงแล้ว อัว
๊ ะคงจะไม่มีบุญได้เป็นหรอกว่ะ แค่ฝันไปลมๆ แล้งๆ เท่านัน
้ แหละ )
If I were a bird, I would be very happy.
ถ้าฉันได้เป็นนก ฉันคงจะดีใจไม่น้อยทีเดียว
( ความจริงทีเ่ กิดขึน
้ ก็คือ เธอออกไปข้างนอก ก็เลยไม่ได้เจอเขา )
If Pim had not gone out, she would not have got wet.
ถ้าพิมไม่ออกไปข้างนอก หล่อนก็คงจะไม่เปี ยกหรอกนะ
ใช้กับเหตุการณ์ทีเ่ ป็นความจริงเสมอ
บทที ่ ๒
Question Tag
Question Tag นะครับ ก็คือ " การตัง้ คำาถามท้ายประโยคบอกเล่าหรือประโยคปฏิเสธ " ประโยค
คำาถามแบบนีน
้ ะครับ
ส่วนใหญ่มักจะใช้ในการสนทนามากกว่าทีจ
่ ะใช้ในภาษาเขียนครับ ซึง่ ก็จะมีหลักการตัง้ ประโยคคำาถาม
แบบนีง้ ่ายๆ ก็คอ
ื
3. ต้องใส่เครือ
่ งหมาย Comma คัน
่ ระหว่างประโยคหลักกับ Question Tag เสมอ
7. กริยาช่วยเหล่านัน
้ จะต้องเปลีย
่ นไปตาม Tense ทีป
่ ระโยคหลักนะครับ
I am a student, aren't I?
ฉันเป็นนักเรียนใช่ไหมเนีย
่ ????
( ประโยคนีต
้ ัง้ ให้เห็นเฉยๆ ครับ ว่าอย่าใช้ amn't I ให้ใช้ aren't I แทน แต่ความหมายอย่าไป
ใส่ใจเลยครับ
เพราะคงจะไม่มีใครมาบ้าถามตัวเองแบบนี ้ )
7
ไหนมันเป็นกริยาช่วย ตอนไหนมันเป็นกริยาแท้ )
Peter ate my apple, didn't he?
ปี เตอร์กินแอปเปิ ้ ลของฉันใช่ไหม ?
( ประโยคหลักเป็น Past Simple Tense และไม่มีกริยาช่วย เพราะฉะนัน
้ ต้องเอา Verb
to do มาช่วยและทำาให้เป็นร้ป Past ด้วยนะครับ )
เป็นประโยคกลุ่มนีจ
้ ริงๆ
ต้องทำาในร้ปบอกเล่าครับ เช่น
9
คำาถามอุ่นเครือ
่ ง ( Warm-up Question )
ในครัง้ ต่อไป ผมจะเริม
่ พ้ดเรือ
่ งของ Tense แล้วนะครับ ก็เลยมีคำาถามจะมาถามท่านผ้้อ่านทีเ่ คารพทัง้
Tense นีค
่ งต้องคุยกันอีกนานครับ อ้อ .....หากจะเรียนเรือ่ ง Tense นีน
่ ะครับ ท่านควรจะสามารถ
ไม่ค่อยคล่องนัก กรุณาลองซือ
้ หนังสือตารางผันกริยา 3 ช่องมาอ่านด้ก็ได้ครับ เล่มละไม่กีบ
่ าทเองครับ
เลยครับ
บทที ่ ๓
Tense ในภาษาอังกฤษนัน
้ มีทัง้ หมด 12 Tenses ด้วยกันนะครับ สามารถแบ่งเป็น 4 กล่ม
ใหญ่ๆ คือ
ช่องว่างทีเ่ ว้นไว้นัน
้ ก็ให้ท่านเติม Present, Past, หรือ Future ลงไปครับ ( ,
ปัจจุบัน อดีต ,
หรืออนาคต )
4x3 ทัง้ หมดก็เป็น 12 Tenses พอดีครับ ไม่ขาดไม่เกิน ส่วนเรือ
่ งโครงสร้าง ผมจะทยอยพ้ดไป
เรือ
่ ยๆ นะครับ
3. ใช้แสดงถึงการกระทำาทีเ่ กิดขึน
้ ในปัจจุบัน หรือสภาพทีเ่ ป็นปัจจุบัน เช่น
การผันกริยาใดทัง้ สิน
้ เลยไม่คอ
่ ยจะคุ้นเคย หลงๆ ลืมๆ ไปบ้าง แต่อย่าลืมบ่อยนะครับ ^o^
บทที ่ ๔
1. ใช้เมือ
่ การกระทำานัน
้ กำาลังดำาเนินอย่้ในปัจจุบัน ( ขณะทีพ
่ ้ด ) และยังทำาต่อ
เนือ
่ งมาจนถึงบัดนัน
้
และจบลงในอนาคต เช่น
What is he doing?
เขากำาลังทำาอะไรเหรอ ?
2. แสดงถึงการกระทำาทีเ่ กิดขึน
้ ซึง่ จำาเป็นจะต้องเกิดขึน
้ ขณะทีก
่ ล่าวนัน
้ จริงๆ เช่น
กริยาทีน
่ ำามาแต่งเป็น Continuous Tense ( ทุกชนิด ) ไม่ได้ !!!
กริยาจำาพวกนีน
้ ะครับ กรุณาเอามาแต่งเฉพาะใน Simple Tense เท่านัน
้ นะครับ
.
๑ กริยาทีเ่ กีย
่ วกับประสาทสัมผัสทัง้ ห้า เช่น see, smell, feel, hear, taste, etc. เช่น
ครับ ไม่เหมือนกันครับ )
.
๒ กริยาทีแ
่ สดงถึงภาวะของจิต ( State of Mind ), แสดงความร้้สึก ( Feeling ), ความ
ผ้กพัน ( Relationship )
ไม่นิยมนำามาแต่งใน Continuous Tense เช่น
หลักการเติม -ing
14
(1). กริยาทีล
่ งท้ายด้วย e ให้ตัด e ทิง้ เสียก่อน แล้วจึงเติม -ing เช่น
ก่อน
แล้วจึงเติม -ing เช่น stop => stopping, run => running, sit => sitting,
get => getting, dig => digging
(5). กริยาทีม
่ ี 2 พยางค์ซึง่ ออกเสียงหนัก ( Stress ) ทีพ
่ ยางค์หลัง และพยางค์หลังมีสระตัวเดียว
ตัวสะกดตัวเดียว ให้เพิม
่ ตัวสะกดเข้ามาอีกตัวหนึง่ เสียก่อน แล้วจึงเติม -ing เช่น
occur => occurring, begin => beginning, refer => referring, offer
=> offerring
(6). กริยา 2 พยางค์ต่อไปนี ้ จะเพิม
่ ตัวสะกดเข้ามาแล้วเติม -ing หรือไม่ก็ได้
บทที ่ ๕
กำากับด้วย เช่น yesterday, once, ago, formerly, last night, last year,
last month, etc. เช่น
2. ใช้เมือ
่ แสดงเหตุการณ์หนึง่ กระทำาเป็นประจำาในอดีต แต่บัดนีไ้ ม่ได้เป็นเช่นนัน
้ อีกต่อไปแล้ว เช่น
บทที ่ ๖
วิธีใช้
1. แสดงถึงการกระทำาทีเ่ กิดขึน
้ ในอดีต และดำาเนินเรือ
่ ยมาจนถึงปัจจุบันในขณะทีพ
่ ้ดอย่้ เช่น
3. ใช้กับเหตุการณ์ทีเ่ กิดขึน
้ ในอดีต และสิน
้ สุดลงไปแล้ว แต่ผลของเหตุการณ์ก็ยังคงมีมาจนถึง
ปัจจุบันในขณะทีพ
่ ้ด เช่น
4. ใช้แสดงถึงการกระทำาซึง่ เริม
่ ต้น และสิน
้ สุดลงในอดีต แต่ยังอาจจะเกิดขึน
้ ได้อีก มักจะมี Adverb
of Frequency อย่ด
้ ้วย
เช่น since yesterday, since 1979, since the Cold War, since
Monday, since last week เป็ นต้น
since his father died, since I was born, since she quit her work
เป็นต้น
บอกความยาวของเวลา
for two days, for six hours, for three years, for a long time, for a
few minutes เป็นต้น
ครับ และจะ
Perfect Tense
ทัง้ แบบ Regular Verbs หรือ Irregular Verbs ครับผม !!! (O'_'O)
บทที ่ ๗
1. ใช้เพือ
่ แสดงถึงการกระทำาหรือสภาพในอนาคต เช่น
อย่างหลีกเลีย
่ งไม่ได้ เช่น
shall เท่านัน
้
บทที ่ ๘
หลักการเปลีย
่ น
1. คำานามโดยทัว
่ ไปเมือ
่ เปลีย
่ นจากเอกพจน์เป็นพห้พจน์มักจะเติม "s" ลงทีท
่ ้ายคำานัน
้ เช่น
cup -----> cups ( ถ้วย ) book -----> books ( หนังสือ ) elephant ----->
elephants ( ช้าง )
lamp -----> lamps ( โคมไฟ ) house -----> houses ( บ้าน ) car ----->
cars ( รถยนต์ )
2. คำาเอกพจน์ทีล
่ งท้ายด้วย s, x, z, ch หรือ sh เมือ
่ เปลีย
่ นเป็นร้ปพห้พจน์จะต้องเติม es เช่น
kiss -----> kisses ( จ้บ ) box -----> boxes ( กล่อง ) watch ----->
watches ( นาฬิกา )
brush -----> brushes ( แปรง ) topaz -----> topazes ( บุษราคัม )
ยกเว้น : monarch -----> monarchs ( กษัตริย์ ) เพราะว่าพยัญชนะ ch ออกเสียงเป็น
/ค/ / /
ไม่ใช่ ช ครับ
22
3. คำาเอกพจน์ทีล
่ งท้ายด้วย o และหน้า o เป็นพยัญชนะ ให้เติม es เช่น
หมายเหตุ : คำาเหล่านีจ
้ ะเลือกเติม s หรือ es ก็ได้ เมือ
่ ต้องการทำาเป็นพห้พจน์ ได้แก่ buffalo (
ควาย ), cargo ( สินค้า ), calico ( ผ้าเนือ
้ หยาบ ), domino ( โดมีโน ), grotto (
ถำา
้ ), halo ( แสงเป็นวงกลม ), lasso ( เชือกบ่วงบาศ ), mosquito ( ยุง ), portico
( หลังคาทางเดิน ), proviso ( ข้อแม้ ), volcano ( ภ้เขาไฟ )
4. คำานามทีล
่ งท้ายด้วย y แล้วหน้า y เป็นพยัญชนะ ให้เปลีย
่ น y เป็น i แล้วเติม es เช่น
5. คำานามทีล
่ งท้ายด้วย y แล้วหน้า y เป็นสระ ให้เติม s ได้เลย เช่น
wife -----> wives ( ภรรยา ) life -----> lives ( ชีวิต ) knife ------> knives
( มีด )
wolf -----> wolves ( หมาป่ า ) calf -----> calves ( ล้กวัว ) shelf ----->
shelves ( หิง้ )
หมายเหตุ ๑ ). คำาต่อไปนีส
้ ามารถเติม s หรือจะใช้ -ves ก็ได้ คือ scarf ( ผ้าพันคอ ), wharf
( ท่าเรือ )
๒ ). คำาต่อไปนีใ้ ห้เติมด้วย s ไปเลย ได้แก่ reef ( หินโสโครก ), grief ( ความเศร้าโศก ), gulf
( อ่าว ),
dwarf ( คนแคระ ), turf ( พืน
้ หญ้า ), chief ( หัวหน้า ), roof ( หลังคา ), hoof (
กีบเท้าสัตว์ ),
cliff ( หน้าผา ), proof ( หลักฐาน ), strife ( การวิวาท ), safe ( ต้้นิรภัย ), fife (
ขลุ่ย )
handkerchief ( ผ้าเช็ดหน้า )
24
7. นามบางคำาจะเปลีย
่ นร้ปไปจากเดิมเมือ
่ เป็นพห้พจน์ ซึง่ จะต้องใช้การ
จดจำา เช่น
man -----> men ( ผ้้ชาย ) woman -----> women ( ผ้้หญิง ) foot ----->
feet ( ฟุต )
mouse ------> mice ( หน้ ) louse -----> lice ( เหา ) child ----->
children ( เด็ก )
goose -----> geese ( ห่าน ) tooth -----> teeth ( ฟั น ) ox -----> oxen (
วัวตัวผ้้ )
8. คำานามบางคำามีร้ปเอกพจน์เหมือนกับร้ปพห้พจน์ เช่น
กันไปเลยครับ ........
บทที ่ ๙
วิธีใช้
1. ใช้ในเหตุการณ์ทีแ
่ สดงอาการกำาลังกระทำาในอดีต เช่น
2. ใช้แสดงถึงการกระทำาทีต
่ ่อเนือ
่ งกันในอดีต เช่น
3. ใช้เมือ
่ มีเหตุการณ์เกิดขึน
้ 2 เหตุการณ์ โดยขณะทีเ่ หตุการณ์อันหนึง่ กำาลังดำาเนินไปอย่้ก่อน และยัง
มีเหตุการณ์ทีส
่ อง ซึง่ เป็นเหตุการณ์สัน
้ ๆ เกิดแทรกเข้ามา โดยมีหลักการแต่งประโยคดังนี ้ คือ
เหตุการณ์ใดทีด
่ ำาเนินอย่้ใช้ Past Continuous Tense
เหตุการณ์ทีเ่ กิดทีหลังใช้ Past Simple Tense เช่น
ผิดพลาด ! ชือ
่ แฟ้มไม่ได้ระบุ
5. ใช้กับเหตุการณ์ทีก
่ ำาลังเกิดขึน
้ หรือดำาเนินอย่้ ณ เวลาจุดใดจุดหนึง่ ในอดีตตามทีร
่ ะบุไว้อย่างชัดเจน
เช่น
6. ใช้ในการสมมุติหรือเป็นข้อแม้ หรือการคาดคะเนเพือ
่ แสดงถึงการกระทำาทีต
่ ่อเนือ
่ งกัน เช่น
เข้าใจอีกรอบคร้าบ
บทที ่ ๑๐
วิธีใช้
( นีค
่ อ
ื จุดทีแ
่ ตกต่างจาก Present Perfect Tense ครับ ) มักจะมีคำาว่า since ( from
that time ), ever, until now, for......weeks,for a long time, since
then, since ...... o'clock ยกตัวอย่างเช่น
28
( ประโยคนีห
้ มายความว่า ผมได้อย่้อาศัยทีน
่ ีม
่ าตัง้ แต่เมือ
่ 10 ปี ทีแ
่ ล้ว จนกระทัง่ มาถึงเวลาทีพ
่ ้ดประโยค
นีก
้ ็ได้อย่้เป็นเวลา 10 ปี และปี ที ่ 11 หรือ 12 หรือต่อไปเรือ
่ ยๆ ก็จะยังคงอย่้ต่อไปอีก แต่ถ้าผ้้พ้ด
ไม่อาจทราบได้ครับ )
อย่างไรก็ตาม Tense นีไ้ ม่คอ
่ ยใช้กันบ่อยนัก ส่วนมากนิยมใช้ Present Perfect Tense
กันมากกว่าครับผม
โดยเฉพาะอย่างยิง่ กริยาทีม
่ ีความหมายเป็นการกระทำาทีไ่ ม่นาน ไม่ควรนำามาแต่งด้วย Present
Perfect Continuous Tense
โดยเด็ดขาด กริยาทีส
่ ามารถนำามาแต่งเป็น Present Perfect Continuous Tense นัน
้
จะต้องคำานึงว่าเป็นกริยาทีส
่ ามารถ
กระทำานานๆ ได้นะคร้าบ เช่น play, teach, study, learn, live, work, stand,
sit, sleep, read, wait, rest เป็นต้น
บทที ่ ๑๑
( เหตุการณ์ทีเ่ กิดขึน
้ ก่อนคือ การทำางานทีเ่ สร็จแล้ว และเหตุการณ์ทีเ่ กิดขึน
้ ทีหลังคือ ฉันกลับบ้าน )
I had lost my pen so I was unable to do the exercise.
ฉันทำาปากกาหาย ฉันจึงไม่สามารถทำาแบบฝึ กหัดได้
( เหตุการณ์ทีเ่ กิดขึน
้ ก่อนคือ ฉันทำาปากกาหาย และเหตุการณ์ทีเ่ กิดขึน
้ ภายหลังคือ ฉันไม่สามารถทำา
แบบฝึ กหัดได้ )
2 ). ใช้กับกริยาทีเ่ ป็น Past และ Present Perfect Tense เมือ
่ ต้องการทำา Direct
Speech ให้เป็น Indirect Speech
Direct Speech : " I have finished my work. " she said.
Indirect Speech : She said that she had finished her work
เธอพ้ดว่าเธอได้ทำางานเสร็จเรียบร้อยแล้ว
Direct Speech : " What did you do with the money? ", she asked.
บทที ่ ๑๒
วิธีใช้
( ขณะทีพ
่ ้ดยังทำาการบ้านไม่เสร็จ แต่เมือ
่ ถึงเวลาอาหารเย็นจะเสร็จอย่างแน่นอน )
They will have moved in a new house by the end of next year.
เมือ
่ สิน
้ ปี หน้า พวกเขาจะได้ย้ายเข้าไปอย่้บ้นหลังใหม่แล้ว
( ขณะทีพ
่ ้ดยังไม่ได้ย้าย ก่อนสิน
้ ปี จะย้ายอย่างแน่นอน )
31
บทที ่ ๑๓
คำาอธิบาย : ถ้าเริม
่ ต้นด้วยเหตุการณ์ทีเ่ ป็นอดีต ประโยคทีเ่ ชือ
่ มกันต่อไปจะต้องเป็น Past Tense
ทัง้ หมด
( ข้อนีเ้ ป็นข้อทีค
่ นไทยมักจะลืมมากทีส
่ ุดครับ !!! )
3). มักใช้ "as if" หรือ "as though" ในร้ปของ Present Tense
ไม่ใช้ : John talks as if/as though he knows everything.
ใช้ : John talks as if/as though he knew everything.
จอห์นพ้ดประหนึง่ ว่าเขาร้้ไปเสียทุกอย่าง
คำาอธิบาย : ถ้ามีวลี "as if" หรือ "as though" ( ประหนึง่ ว่า ) ในประโยค จะต้องตามด้วย
ถ้าในกรณีทีก
่ ริยาทีต
่ ามหลังเป็น Verb to Be จะต้องใช้ "were" เสมอ
32
บทที ่ ๑๔
เอกพจน์บุรุษที ่ 3 เด็ดขาด
และในการตอบคำาถามประโยคทีข
่ ึน
้ ต้นด้วย " Does " จะต้องเป็น Present Tense และใช้
กริยาเอกพจน์
คำาอธิบาย : กริยาทีต
่ ามหลังคำากริยาช่วย Did นัน
้ จะต้องตามด้วย Infinitive without to
เสมอ
บทที ่ ๑๕
ดัดแปลงเป็น
ประโยคก็ได้ครับ จากนัน
้
ตรงประโยคคำาพ้ดจะต้องมีเครือ
่ งหมายอัญประกาศ " _____ " แบบนีด
้ ้วยนะครับ ยกตัวอย่างเช่น
คราวหน้าผมจะมาเริม
่ พ้ดถึงแต่ Indirect Speech แล้วนะครับ ติดตามอ่านได้นะคร้าบ (o'_'o)
บทที ่ ๑๖
การเปลีย
่ นประโยค Direct Speech เป็น Indirect Speech นัน
้ หลักสำาคัญคือคุณจะต้อง
เปลีย
่ น
1. เปลีย
่ นสรรพนามบุคคล ( Personal Pronoun )
2. เปลีย
่ น Tense
3. เปลีย
่ นถ้อยคำาทีแ
่ สดงความใกล้ให้เป็นไกล
การเปลีย
่ นสรรพนามบุคคล
DIRECT INDIRECT
I he or she
me him or her
my his or her
35
DIRECT INDIRECT
Present Simple Tense Past Simple Tense
Present Continuous Tense Past Continuous Tense
Present Perfect Tense Past Perfect Tense
Past Simple Past Perfect Tense
will would
shall should
can could
36
may might
must had to
การเปลีย
่ นถ้อยคำาทีแ
่ สดงความใกล้ให้เป็นถ้อยคำาทีแ
่ สดงความไกล
DIRECT INDIRECT
today, tonight that day, that night
yesterday the day before, the previous day
last night/week/month/year the night/week/month/year before
the day before yesterday two days before
the day after two days after, in two days' time
tomorrow the next, the following day
next week/month/year the week/month/year after
thus so
now then, at that time
ago before
come go
this, those that, those
here there
บทที ่ ๑๗
หลักการเปลีย
่ น Direct Speech ให้เป็น Indirect Speech ในกรณีทีป
่ ระโยค
) "please"
บอก ( ให้ทำา ...... ) เช่นบอกให้ทำาสิง่ ใดสิง่ หนึง่ คำานีน
้ ย
ิ มใช้มากเพราะเป็นคำา
tell ( told ) กลางๆ ไม่เฉียบขาดเกินไป และไม่อ่อนเกินไป ในกรณีทีห
่ าคำาเหมาะสมไม่ได้ ขอ
แนะนำา ให้ใช้คำานีน
้ ะครับ
warn
( warned ),
เตือน , แนะนำา ( ให้กระทำา ) เช่น แนะนำา ตักเตือนให้กระทำาสิง่ ในสิง่ หนึง่
advise
( advised )
order
สัง่ ( ธรรมดา ) เช่น อาจารย์สัง่ นักศึกษา
( ordered )
command, (
commande สัง่ ( เฉียบขาด ) เช่น ผ้้บังคับบัญชาสัง่ ล้กน้อง
d)
งขอร้อง ( ให้กระทำา ) ใช้เช่นเดียวกับ ask แต่ความหมายของคำาๆ นี ้ จะด้
beg
อ่อนน้อม กว่านะครับ ควรใช้ในกรณีทีป
่ ระโยคเดิมมีคำาสุภาพมากในการขอร้อง เช่น
( begged )
Would you mind ( please ) ...............?
38
ตัวอย่างประโยค
บทที ่ ๑๘
หลักการเปลีย
่ น
39
1. เปลีย
่ นคำากริยานำา ( Reporting Verb ) จาก said ให้เป็น asked, inquired,
หรือ enquired
2. ถ้าประโยคคำาถามใน Direct Speech เป็นประโยคคำาถามแบบต้องตอบด้วย " YES หรือ
NO "
นัน
่ ความหมายว่า ใช้กริยาช่วยขึน
้ ต้นประโยค ( Verb to be, Verb to do, Verb to
have,
Will, Shall, Can, May, etc. ) เมือ
่ ทำาเป็น Indirect Speech ให้เปลีย
่ นกริยาช่วย
เหล่านัน
้
What, Where, When, Why, Who, Which, How ไม่ต้องใส่ if หรือ whether
ให้ใช้ Question Word เหล่านัน
้ มาทำาหน้าทีไ่ ด้เลย
5. หลักการเปลีย
่ น Tense ยังคงใช้วิธีการเดิม
ตัวอย่างประโยค
ใช้กริยาช่วยขึน
้ ต้นประโยคใน Direct Speech
Direct : He said to me, " Are you going to Chiang Mai on
Sunday? "
Indirect : He asked me if I was going to Chiang Mai on Sunday.
Direct : She said to me, " Have you ever studied French? "
Indirect : She inquired me whether I had ever studied French.
40
บทที ่ ๑๙
เมือ
่ ประโยค Direct Speech ปรากฏสำานวน Let's นะครับ เวลาทีจ
่ ะทำาให้เป็น Indirect
Speech
จะต้องใช้กริยานำา ( Reporting Verb ) ว่า suggest, advise, urge, propose
นะครับ
จากนัน
้ จึงตามด้วย them + infinitive with " to " นะครับ ลองมาด้ตัวอย่างประโยคกัน
เลยนะครับ
บทที ่ ๒๐
ประโยคอุทานนัน
้ เรามักจะอุทานของมาด้วยอารมณ์ทีแ
่ ตกต่างกันใช่ไหมครับ ? เช่น อุทานของมาด้วย
,
ความดีใจ ตกใจ , เสียใจ , ,
ยินดี ตืน
่ เต้น ฯลฯ เพราะฉะนัน
้ เมือ
่ เราทำาประโยคให้เป็น Indirect
42
อุทานแบบไหนด้วยนะครับ ยกตัวอย่างเช่น
ประโยคนัน
้ ๆ )
อย่าลืมนะครับ คำาทีแ
่ สดงอารมณ์เหล่านัน
้ จะต้องทำาให้เป็น คำานาม ด้วยนะคร้าบ ^o^
ตัวอย่างประโยค
เพราะเราอาจจะต้องร้้จักดัดแปลงประโยคเล็กน้อยเมือ
่ ทำาเป็น Indirect Speech q^_6 p
43
บทที ่ ๒๑
Direct : He said to me, " When will they come? I will be ready at
any time. "
Indirect : He asked me when they would come and said that he
would be ready at any time.
ใช้ and asked กรณีทีป
่ ระโยคคำาถามเป็นประโยคหลัง เช่น
Direct : Steve said to me, " I will be at home at 6 p.m. When will
you call me? "
Indirect : Steve told me that he would be at home at 6 p.m. and
asked when I would call him.
2. ประโยคคำาสัง่ กับ ประโยคคำาถาม
Direct : The librarian said to us, " Be quiet! Why are you so
noisy? "
Indirect : The librarian told us to be quiet and asked why we
were so noisy.
44
Direct : She said to him, " I don't feel well. Leave me alone! "
Indirect : She said to him that she didn't feel well and told him
to leave her alone.
4. ประโยคบอกเล่า กับ ประโยคปฏิเสธ
Direct : She said to us, " Stand up! Look overthere! "
Indirect : She told to us to stand up and to look overthere.
บทที ่ ๒๒
1. เปลีย
่ น said to เป็น told + บุคคล + that
หากประโยคเดิมเป็น " Yes, + ประโยคทีเ่ ป็น Present Tense " เช่น
2. เปลีย
่ น said to เป็น promised that
หากประโยคเดิมเป็น " Yes, + ประโยคทีเ่ ป็น Future Tense " เช่น
บทที ่ ๒๓
1. ไม่ต้องเปลีย
่ นสรรพนามบุคคล ( Personal Pronoun ) ถ้าสรรพนามบุคคลนัน
้ เป็นบุรุษ
เดียวกัน
ทัง้ นีเ้ พราะเป็นการเล่าถึงคำาพ้ดของตนเอง เช่น
ไม่ต้องเปลีย
่ นแปลง นัน
่ คือ could, should, would, might เช่น
3. คำาเชือ
่ ม that ในประโยคบอกเล่าของ Indirect Speech สามารถละไว้ได้ ถือว่าไม่ผิด
แต่อย่างใด เช่น
บทที ่ ๒๔
ซึง่ จะเห็นได้อย่างชัดเจนนะครับ ว่าทัง้ " พวกเรา " และ " ฉัน " ต่างเป็นผ้้กระทำากริยานัน
้ ๆ ทัง้ สิน
้
วิธีเปลีย
่ น
หน้า
มีการผันโดยเฉพาะ )
หากยังไม่ทราบ เชิญเข้าไปด้ได้ทีต
่ ารางการผันกริยา Irregular Verbs ทีห
่ น้าหลักได้ หรือ คลิกที ่
นี ่ ครับ
นิยมใช้แล้วนะครับ และหากใครทีย
่ ังจำาไม่ได้อย่างแม่นยำาว่าแต่ละ Tense ใช้อย่างไร ก็กรุณากลับ ไป
บทที ่ ๒๖
ตัวอย่างการเปลีย
่ นประโยค Active เป็น Passive ใน 12 Tenses
เมือ
่ บททีแ
่ ล้วผมได้แนะนำาโครงสร้างประโยคของ Passive Voice ทัง้ 12 Tenses ไปแล้วนะ
ครับ มาบทนีผ
้ มขอยกประโยคตัวอย่างประกอบ
เพือ
่ ท่านผ้้อ่านจะได้เห็นภาพมากขึน
้ ครับ ใครทีย
่ ังไม่ได้อ่านบททีแ
่ ล้วเชิญ คลิกทีน
่ ี ่ ครับผม
บทที ่ ๒๗
ครับผม อย่างไรก็ตาม
51
สามารถอย่้โดดได้ ห้ามนำามาแต่งเป็น
ครับ เป็นเพียงวลีทีข
่ ยาย
ก็อย่างทีบ
่ อกนะครับว่า อกรรมกริยานี ้ ก็ต้องหมัน
่ ค่อยๆ จำากันไปครับผม ผมไม่สามารถแนะหลักได้
จริงๆ ครับ ต้องจำาเท่านัน
้ นะครับ
ตรงข้ามกับอกรรมกริยาครับ กล่าวคือ
เป็นคำากริยาทีต
่ ้องมีกรรมมารองรับครับผม แบบนีต
้ ้องอาศัยจำาไปเป็นคำาๆ นะครับ ตัวอย่างกรณีนีก
้ ็อย่าง
เช่น
preposition + object
( ทัง้ นีเ้ พราะ Intransitive Verb + Object = Transitive Verb ได้ทันทีครับผม )
ยกตัวอย่างเช่น
บทที ่ ๒๘
หลักการเปลีย
่ นประโยค Active ทีเ่ ป็นคำาถามให้เป็น Passive
ประโยค Active Voice ทีเ่ ป็นประโยคคำาถามทีข
่ ึน
้ ด้วย Question Words เมือ
่ เปลีย
่ นเป็น
Passive ให้ทำาดังต่อไปนี ้ :-
1. ให้เอา Question Words อันได้แก่ What, Where, When, Why,
Whose, Whom, Which, How ขึน
้ ไว้ต้นประโยคเหมือนเดิม ยกเว้นคำาว่า Who
ให้เปลีย
่ นเป็น " By whom " แทน
2. คำาอืน
่ ๆ เช่น Verb to Be, must, may, can, could, should, would,
might, etc. ให้เรียงแบบคำาถามตามปรกติ โดยวางไว้หน้าประธาน แต่อย่ห
้ ลัง
Question Words
3. ประธานใน Active Voice ต้องนำาไปเป็นกรรมตามหลังบุพบท by
4. กริยาแท้ใน Active Voice เมือ
่ เปลีย
่ นเป็น Passive Voice ให้ทำาเป็นกริยาช่อง 3
ตัวอย่างประโยค
ท่านได้จดจำาร้ปแบบประโยคลักษณะนีเ้ อาไว้ครับ
เผือ
่ อาจจะมีโอกาสได้พบเห็นต่อไปในอนาคตครับผม ^_^
บทที ่ ๒๙
หลักการเปลีย
่ น
ประโยคคำาสัง่ คือประโยคทีข
่ ึน
้ ต้นด้วยคำากริยา และไม่มีประธานเพราะละไว้ในฐานทีเ่ ข้าใจแล้ว ดังนัน
้ หลัก
การเปลีย
่ น
บทที ่ ๓๐
นัน
้ เราจะต้องด้ใจความของประโยค คือ ถ้าเราไม่เน้นผ้้กระทำาหรือผ้้กระทำานัน
้ ไม่สำาคัญและไม่จำาเป็นที ่
1. เมือ
่ ประธานในประโยค Active Voice เป็น everyone, everybody, someone,
somebody, on one, nobody
ไม่ต้องนำาไปวางไว้ข้างหลัง by ในประโยค Passive Voice เช่น
55
บทที ่ ๓๑
ก่อนอืน
่ เราต้องทราบก่อนนะครับว่า ในภาษาอังกฤษกรรม 2 ตัวนัน
้ หมายถึงว่าจะมี
เราสามารถทีจ
่ ะเอากรรมตรงไปเป็น
นัน
้ ทุกครัง้ ด้วย ตัวอย่างเช่น
- ฉันถ้กให้ดอกไม้ 1 ดอกโดยเขา
- ดอกไม้ 1 ดอกถ้กให้แก่ฉันโดยเขา
ต้น )
Passive Voice : French is taught to Peter by the teacher. ( กรรมตรง
ขึน
้ ต้น )
57
- ปี เตอร์ถ้กสอนภาษาฝรัง่ เศสให้โดยอาจารย์
- ภาษาฝรัง่ เศสถ้กสอนให้ปีเตอร์โดยอาจารย์
หมายเหตุ : กริยาทีม
่ ีกรรม 2 ตัวมารองรับ มักจะได้แก่กริยาต่อไปนี ้
give, fetch, write, buy, answer, send, show, teach, promise, lend,
tell, offer, sell,
ask, pay, call
บทที ่ ๓๒
บทที ่ ๓๓
being + V3 ยกตัวอย่างเช่น
บทที ่ ๓๔
Verb : Introduction
โดยปรกติแล้วหนังสือไวยากรณ์ฉบับต่างๆ อาจจะมีวิธีการแบ่งประเภทของคำากริยาทีแ
่ ตกต่างกันออกไป
นะครับ เพราะฉะนัน
้ ทีผ
่ มแบ่งประเภทของ กริยาในตอนนีอ
้ าจจะไม่ตรงกับหนังสือไวยากรณ์ฉบับอืน
่ ๆ ก็
เป็นได้นะครับ แต่โดยหลักรวมๆ แล้ว คำากริยาสามารถแบ่งเป็นกลุ่มๆ ทีเ่ ห็นได้ชัดได้ดังนีค
้ รับ
60
1. Finite Verb
แปลว่า " กริยาแท้ " ซึง่ หมายถึง คำากริยาซึง่ เป็นหลักเป็นส่วนสำาคัญของประโยค ทุกประโยคจะต้องมี
กริยาแท้ครับ มิฉะนัน
้ เราจะไม่ถือว่า ข้อความนัน
้ เป็นประโยค นอกจากนีแ
้ ล้ว Finite Verb จะ
เปลีย
่ นร้ปไปตาม Tense ต่างๆ ด้วยครับผม ตัวอย่างเช่น
คำาว่า Go ในประโยคต่อไปนีล
้ ้วนเป็นกริยาแท้นะครับ และผันไปตาม Tense ต่างๆ ด้วยครับ
He goes.
He has went there early.
He will go there soon.
He is going.
2. Non-Finite Verb
แปลว่า " กริยาไม่แท้ " ซึง่ ไม่ได้เป็นกริยาหลักของประโยค แต่ถ้กนำาไปใช้ทำาหน้าทีอ
่ ย่างอืน
่ ในประโยค
2.2 Gerund = กริยาทีเ่ ติม -ing ( Verb + ing ) เช่น sleeping, speaking,
typing เป็นต้น
2.3 Participle = กริยาทีเ่ ติม -ing เช่น eating, going ซึง่ แบบนีเ้ ราเรียกว่า "
Present Participle " ครับ และอีกแบบหนึง่ ก็คือ กริยาทีอ
่ ย่้ในร้ป Verb 3 เช่น gone,
taken, eaten เป็นต้น เราเรียกว่า " Past Participle " ครับ
3. Auxiliary Verb
บางทีเราก็อาจจะเรียกว่า " Helping Verb " ได้นะครับ ซึง่ ก็คือกริยาช่วยนัน
่ เอง กริยาเหล่านีจ
้ ะ
ไปทำาหน้าทีช
่ ่วยกริยาตัวอืน
่ ๆให้ประโยคเป็นบอกเล่า คำาถาม ปฏิเสธ หรือเป็นเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต
61
ปัจจุบัน และอนาคต รวมไปถึงการคาดคะเน เงือ
่ นไขต่างๆ คำามัน
่ สัญญา ในภาษาอังกฤษมีกริยาช่วย
ดังต่อไปนีค
้ รับ
Verb to be ( is, am, are, was, were ); Verb to have ( have, has,
had ); Verb to do ( do, does, did );
will, would, shall, should, can, could, may, might, must, need,
dare, ought to, used to,
บางตำาราอาจจะพ่วง had better, would rather, have to, และ should ( ทีเ่ ท่ากับ
ought to ) เข้าไปด้วยนะครับ
4. Transitive Verb
หรือในภาษาไทยเรียกว่า " สกรรมกริยา " หมายถึงกริยาทีต
่ ้องมีกรรมมารองรับหรือมีกรรมมาขยาย
ตามหลังครับ ยกตัวอย่างเช่น wash, clean, order, hit, kick, give, buy, write,
bring, buy, open, close เป็นต้นครับ
คำาทีจ
่ ะสามารถนำามาเป็นกรรมของสกรรมกริยาได้ มีดังต่อไปนีค
้ รับ
5. Intransitive Verb
ในภาษาไทยเราเรียกว่า " อกรรมกริยา " ซึง่ ก็คือคำากริยาทีไ่ ม่จำาเป็นต้องมีกรรมมารองรับ เพราะมีเนือ
้
ความสมบ้รณ์ในตัวอย่้แล้ว เช่น
regret, stay, inhale, relapse, go, sleep, fly, run, stand, sit, come,
dance, exhale, light, laugh เป็นต้น
ตัวขยายอกรรมกริยา เพือ
่ ให้ประธานของประโยคมีใจความสมบ้รณ์ อกรรมกริยาเหล่านัน
้ ก็ยกตัวอย่าง
เช่น
seem, look, feel, taste, stay, get, turn, remain, sound, become,
prove, appear, grow, show,
Verb to be, Verb to have ( ทีแ
่ ปลว่า ' มี ' เท่านัน
้ นะครับ ) เช่น
บทที ่ ๓๕
Verb : หน้าทีข
่ อง Verb to Be
1. ใช้เป็นกริยาหลัก ( Principal Verb ) ของประโยค ซึง่ กรณีนีใ้ นประโยคจะไม่มีกริยาตัวอืน
่
" เช่น
เกิดขึน
้ ในอนาคตอันใกล้ เช่น
ทีต
่ ้องกระทำาหรือความเป็นไปได้ เช่น
ทัง้ หมดนีก
้ ็เป็นหน้าทีข
่ อง Verb to Be ในฐานะทีท
่ ำาหน้าทีเ่ ป็นกริยาช่วยกริยาตัวอืน
่ นะครับ (
ยกเว้นข้อ 1)
64
บทที ่ ๓๖
Verb : หน้าทีข
่ อง Verb to Do
หน้าทีข
่ อง Verb to Do ในฐานะเป็นกริยาช่วยคำากริยาอืน
่ ๆ มีดังต่อไปนี ้ :-
1. ช่วยทำาให้ประโยคบอกเล่า เป็นประโยคคำาถามหรือประโยคปฏิเสธ ตัวอย่างประโยค
ช่วยเหล่านีท
้ ำาเป็นประโยคคำาถามและปฏิเสธได้ทันที
2. ใช้หนุนกริยาหลัก เพือ
่ แสดงเน้นยำา
้ ว่าประธานทำากริยานัน
้ จริงๆ หรือเกิดขึน
้ จริงๆ โดยให้วางไว้หน้า
กริยาหลัก เช่น
3. ใช้แทนกริยาหลักในประโยคคำาตอบแบบสัน
้ ๆ เพือ
่ หลีกเลีย
่ งการพ้ดกริยาหลักนัน
้ ซำา
้ อีกรอบ ( ใช้
บทที ่ ๓๗
Verb : หน้าทีข
่ อง May, Might
MAY
66
1. ใช้เพือ
่ แสดงจุดมุ่งหมาย ( Purpose ) และจะอย่้หลัง so that หรือ in order
that เสมอ เช่น
2. ใช้เพือ
่ แสดงการอนุญาตหรือการขออนุญาต ( Permission ) ทีจ
่ ะกระทำาการอย่างใดอย่าง
หนึง่ เช่น
You may talk to everybody but you can't force him to listen to
you.
67
คุณอาจจะพ้ดกับทุกคนได้ แต่คุณไม่สามารถบังคับให้เขาฟั งคุณได้
MIGHT
1. ใช้เป็นร้ปอดีตของ MAY ในประโยคทีเ่ ปลีย
่ นมาจาก Direct Speech เช่น
ประโยคทีส
่ อง I ร้้อย่างแน่นอนว่า A ต้องอย่้ทท
ี ่ ีท
่ ำางานแน่ๆ ไม่ได้ไปไหน ดังนัน
้ จึงใช้ may เพือ
่ แสดง
ความมัน
่ ใจ
อดีต เช่น
I can't imagine why she was late. She might have been delayed
by the rain or
she might have had an accident.
( การคาดคะเนในลักษณะไม่แน่นอนถึงสิง่ ทีเ่ กิดขึน
้ ในอดีตต้องใช้ might + have + Verb 3
นะครับ เพราะผ้้พ้ดพ้ดไปในลักษณะ
บทที ่ ๓๘
68
Verb : หน้าทีข
่ อง Verb to Have
หน้าทีเ่ ป็นกริยาช่วยของ Verb to Have ( Have, Has, Had )
1. ใช้ใน Perfect Tense โดยนำาหน้ากริยาช่องที ่ 3 ( Past Participle ) เช่น
2.1 เน้นตัวผ้้ทีท
่ ำา จะใช้ร้ปประโยคคือ " Have + Someone ( ผ้้ทำาให้ ) + Verb 1
( without 'to' ) + Something " เช่น
4. เมือ
่ Verb to Have นำามาใช้เพือ
่ แสดงลักษณะเฉพาะและความสัมพันธ์ของสิง่ ของนัน
้ ๆ
บทที ่ ๓๙
Verb : หน้าทีข
่ อง Will, Shall
หน้าทีเ่ ป็นกริยาช่วยของ Will และ Shall
ก่อนอืน
่ ต้องขอกล่าวก่อนนะครับ ว่าเรือ
่ ง Will vs Shall ทีจ
่ ะพ้ดในทีน
่ ีผ
้ มอ้างอิงมาจากหลัก
ในปัจจุบันทีเ่ มือ
่ เราต้องการกล่าวถึงอนาคตกาล ทุกประธานสามารถผันกับ Will ได้หมดนะครับ
ได้ทัง้ สิน
้ เช่น
เพราะแสดงถึงความตัง้ ใจแน่วแน่ทีจ
่ ะทำาการสิง่ นัน
้ ๆ หรือแสดงถึงคำามัน
่ สัญญาหรือแสดงการข่มข่้ เช่น
บทที ่ ๔๐
Verb : หน้าทีข
่ อง Would, Should
การใช้ Would ทำาหน้าทีเ่ ป็นกริยาช่วย
คำาสัง่ เช่น
ด้วยว่า จะเป็นหรือทำาอย่างทีช
่ ักนำาหรือไม่ มักจะใช้ในคำาถามทีต
่ ้องการความสุภาพ เช่น
2. Should เมือ
่ แปลว่า " ควรจะ " คือเป็นปัจจุบันกาลใช้ได้กับทุกพจน์ทุกบุรุษ ใช้แสดงถึง
หน้าทีท
่ ีจ
่ ะต้องกระทำา การให้คำาแนะนำา ซึง่ มีความหมายเท่ากับ Ought to โดยเฉพาะภาษาพ้ดมักจะ
เหตุการณ์หรือพฤติกรรมนัน
้ ๆ ต้องใช้ should ตลอด เช่น
บทที ่ ๔๑
Verb : หน้าทีข
่ อง Can และ Could
หน้าทีข
่ อง Can
Can แปลว่า " สามารถ " ร้ปอดีตของ Can คือ Could กริยาตัวอืน
่ ทีต
่ ามหลัง Can จะต้อง
หน้าทีข
่ อง Could
Could แปลว่า " สามารถ " เป็นร้ปอดีตของ Can ใช้ได้กับทุกพจน์ทุกประธาน กริยาทีต
่ ามหลัง
ด้วย เช่น
5. Could ทีน
่ ำามาใช้ในร้ป Could + have + Verb 3 เพือ
่ แสดงถึงความสามารถหรือความ
เป็นไปได้ในอดีตแต่ก็ไม่ได้ใช้ความสามารถนัน
้ เสีย เช่น
I could have lent you the money. Why didn't you ask me?
ผมให้คุณยืมเงินได้ ( แต่ ) ทำาไมคุณถึงไม่เอ่ยปากขอล่ะ ?
75
บทที ่ ๔๒
Verb : หน้าทีข
่ อง Have to, Have got to, Had better
หน้าทีข
่ อง Have to
Have to แปลว่า " ,
ต้อง จำาเป็นต้อง " มีความหมายเช่นเดียวกับ Must ใช้แสดงถึงพันธะหน้าทีท
่ ี่
หน้าทีข
่ อง Have got to
Have got to แปลเช่นเดียวกับ Have to ซึง่ จะนำามาใช้ในภาษาพ้ดแทน Have to และนิยม
วางไว้ต้นประโยคได้เลย เช่น
อย่างใดหรือ เหมาะสมทีจ
่ ะประกอบกิจนัน
้ ๆ ในเวลานัน
้ แม้จะมีร้ปเป็นอดีต แต่ความหมาย เป็นปัจจุบัน
นอกจากนีแ
้ ล้ว เวลาทำาให้เป็นประโยคปฏิเสธให้เติม NOT ทีห
่ ลัง BETTER นะครับ อย่าเติมทีห
่ ลัง
She had better not stay here alone. ( ไม่ใช่ She had not better stay
here alone. )
หล่อนไม่ควรพักอย่้ทีน
่ ีต
่ ามลำาพัง
บทที ่ ๔๓
Verb : หน้าทีข
่ อง Must
วิธีการใช้ MUST
1. ใช้เป็นกริยาทีแ
่ สดงคำาสัง่ หรือความจำาเป็นทีจ
่ ะต้องทำา เช่น
3. ใช้แสดงเหตุการณ์หรือพฤติกรรมทีจ
่ ะต้องเกิดขึน
้ กับมนุษย์หรือสิง่ อืน
่ สิง่ ใดซึง่ ไม่สามารถหลีกเลีย
่ ง
ได้ เช่น
6. ใช้แสดงการบอกเล่าทีต
่ ้องการความหนักแน่น แต่ไม่ใช่แสดงความจำาเป็น เช่น
และเมือ
่ ต้องการทำาให้เป็นอนาคตกาล ( Future Tense ) ให้ใช้ will have to หรือ
บทที ่ ๔๔
Verb : หน้าทีข
่ อง Ought to
วิธีการใช้ Ought to
Ought to แปลว่า " ควรจะ " เป็นกริยาช่วยเพียงอย่างเดียวและมีร้ปเดียวเท่านัน
้ ถ้าต้องการทีจ
่ ะ
ทำาให้เป็นอดีตกาล ต้องใช้เป็น
should แต่ความหมายจะอ่อนกว่าเล็กน้อย
1. ใช้แสดงถึงการกระทำาอันเป็นหน้าทีห
่ รือสมควรทีจ
่ ะกระทำา เช่น
2. ใช้แสดงความคาดคะเนว่า น่าจะเป็นเช่นนัน
้ ได้ เช่น
3. เมือ
่ ทำาเป็นประโยคคำาถามหรือปฏิเสธให้เอา ought ขึน
้ ไปไว้ต้นประโยคเมือ
่ ทำาเป็นคำาถาม และเติม
บทที ่ ๔๕
Verb : หน้าทีข
่ อง Dare
Dare แปลว่า "กล้า, ท้า " สามารถใช้แบบกริยาแท้ ( Finite Verb ) หรือใช้แบบกริยาช่วย
1. กรณีใช้แบบกริยาแท้
เช่น
เดียวกับกริยาแท้ทัว
่ ๆ ไป เช่น
ไม่ต้องเติม s แม้จะเป็นประธานเอกพจน์บุรุษทีส
่ าม เช่น
80
บทที ่ ๔๖
Verb : หน้าทีข
่ อง Need
Need นัน
้ สามารถใช้เป็นกริยาแท้ ( Finite Verb ) หรือใช้เป็นกริยาช่วย ( Helping
Verb ) ก็ได้ ดังนี ้
Need กรณีใช้เป็นกริยาแท้
1. Need ถ้าใช้แบบกริยาแท้ทัว
่ ๆ ไป จะต้องตามด้วย Infinitive with "to" และเมือ
่ ประธาน
ประโยคคำาถามและปฏิเสธเท่านัน
้ เช่น
บทที ่ ๔๗
Verb : หน้าทีข
่ อง Used to
Used to แปลว่า "เคย" มีร้ปเป็น Past Tense เพียงร้ปเดียว จะใช้ในกรณีทีต
่ ้องการจะกล่าว
ถึงการกระทำาทีเ่ ป็นปรกตินิสัยอย่้ชัว
่ ระยะหนึง่ ในอดีต
แต่ปัจจุบันการกระทำาทีก
่ ล่าวถึงนัน
้ มิได้กระทำาหรือเกิดขึน
้ อีกแล้ว เพราะฉะนัน
้ used to จึงต้องใช้
2. Used to เมือ
่ ต้องการทำาเป็นประโยคปฏิเสธ ให้ใช้ did not use to, never used
to, หรือ used not to + Verb 1 ได้ทัง้ นัน
้ เช่น
3. Used to เมือ
่ ทำาเป็นประโยคคำาถามก็จะใช้ Did เข้ามาช่วย เช่น
83
บทที ่ ๔๘
สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ชนิดด้วยกันคือ
SIMPLE SENTENCE
Simple Sentence หรือ " เอกัตถประโยค " คือประโยคทีม
่ ีประธานตัวเดียวและกริยาตัวเดียว
เช่น
Verb ] มีเพียงตัวเดียวเท่านัน
้ คือ went นอกนัน
้ จะเป็นกริยาไม่แท้ [ Non-finite
Verb ] ทัง้ สิน
้ คือ having finished = participle, to watch = infinitive และ
living = gerund)
Simple Sentence ประกอบไปด้วยประโยคย่อยได้อีก 5 แบบได้แก่
4. /
ประโยคขอร้อง คำาสัง่ ( Imperative Sentence ) เช่น
บทที ่ ๔๙
1. การเชือ
่ มด้วยเครือ
่ งหมายวรรคตอน
เช่น
ข้างหน้าโดยแท้อย่างแน่นอน เช่น
จาก Pina's car was broken. She didn't come to the party last
night.
เป็น Pina's car was broken: she didn't come to the party last
night.
หรือ Pina's car was broken - she didn't come to the party last
night.
หรือ Pina's car was broken; she didn't come to the party last
night. ก็ได้ครับเพราะใจความต่อเนือ
่ งกัน
2. การเชือ
่ มด้วย Co-ordinate Conjunction
การเชือ
่ มด้วยวิธีนีส
้ ามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทด้วยกันครับ คือ
บทที ่ ๕๐
ประโยคความซ้อนเหล่านีส
้ ามารถเชือ
่ มได้โดยใช้คำาเชือ
่ มเหล่านี ้
1. ใช้คำาเชือ
่ มเป็น Subordinate Conjunction คือ if, as if (ราวกับว่า), since,
because, that, whether, lest, as, before, after, until, till, though,
although, unless, so that, than, provided, in order that, provided
that, notwithstanding(แต่กระนัน้ ), etc. เช่น
บทที ่ ๕๑
เล็กแทรกซ้อนอย่้ภายใน เช่น
( ประโยคทีย
่ กมาดังกล่าวจะมีประโยคใหญ่อย่้ 2 ประโยคคือ ประโยคแรกได้แก่ I saw no one
in the house which you had told me about
และประโยคที ่ 2 ได้แก่ so I didn't go in ประโยคแรกนัน
้ จะมีประโยคเล็กแทรกซ้อนอย่ภ
้ ายใน
บทที ่ ๕๒
หน้าหรือข้างหลัง
91
พยางค์ทีเ่ ติมข้างหน้าเพือ
่ ให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Prefix ( อุปสรรค )" จะเปลีย
่ น ความ
หมาย ออกไปจากฐานคำาเดิม
พยางค์ทีเ่ ติมข้างหลังเพือ
่ ให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Suffix ( ปัจจัย )" จะเปลีย
่ น Part of
Speech ออกไปจากฐานคำาเดิม
บทที ่ ๕๓
หน้าหรือข้างหลัง
พยางค์ทีเ่ ติมข้างหน้าเพือ
่ ให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Prefix ( อุปสรรค )" จะเปลีย
่ น ความหมาย
95
ออกไปจากฐานคำาเดิม
พยางค์ทีเ่ ติมข้างหลังเพือ
่ ให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Suffix ( ปัจจัย )" จะเปลีย
่ น Part of
Speech ออกไปจากฐานคำาเดิม
misogynist = woman-hatred
monarchy = government by one ruler
mono one
monotheism = belief in one god
multifarious = having many parts
multi many
multitudinous = numerous
neologism = newly coined word
neo new
neophyte = beginner; novice
non not noncommittal = undecided
obloquy = infamy; disgrace
occlude = clost; block out
ob, oc,
against offend = insult
of, op
opponent = someone who struggles
against; foe
olig few oligarchy = government by a few
panacea = cure-all
pan all, every panorama = unobstructed view in all
directions
beyond, parallel = similar
para
related paraphrase = restate; translate
through, permeable = allowing passage through
per
completely pervade = spread throughout
peri around, near perimeter = outer boundary
98
periphery = edge
poly many polyglot = speaking several languages
บทที ่ ๕๔
หน้าหรือข้างหลัง
พยางค์ทีเ่ ติมข้างหน้าเพือ
่ ให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Prefix ( อุปสรรค )" จะเปลีย
่ น ความหมาย
ออกไปจากฐานคำาเดิม
พยางค์ทีเ่ ติมข้างหลังเพือ
่ ให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Suffix ( ปัจจัย )" จะเปลีย
่ น Part of
Speech ออกไปจากฐานคำาเดิม
born
forward, in favor propulsive = driving forward
pro
of proponent = supporter
proto first prototype = first of its kind
pseudo false pseudonym = pen name
reiterate = repeat
re again, back
reimburse = pay back
retrospect = looking back
retro backward
retroactive = effective as of a past date
secede = withdraw
se away, aside
seclude = shut away
semi half, partly semiconscious = partly conscious
sub, subjugate = bring under control
suc, succumb = yield; cease to resist
suf, suffuse = spread through
under, less
sug, suggest = hint
sup, suppress = put down by force
sus suspend = delay
super, supernatural = above natural things
over, above
sur surtax = additional tax
syn, with, together synchronize = time together
sym, sympathize = pity; identify with
100
บทที ่ ๕๕
หน้าหรือข้างหลัง
พยางค์ทีเ่ ติมข้างหน้าเพือ
่ ให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Prefix ( อุปสรรค )" จะเปลีย
่ น ความหมาย
ออกไปจากฐานคำาเดิม
101
พยางค์ทีเ่ ติมข้างหลังเพือ
่ ให้เป็นคำาใหม่ จะเรียกว่า " Suffix ( ปัจจัย )" จะเปลีย
่ น Part
of Speech ออกไปจากฐานคำาเดิม
full of requests)
verdant = green
dictionary = book connected
like, connected with with words
ary
(adjective or noun suffix) honorary = with honor
luminary = celestial body
consecrate = to make holy
enervate = to make weary
ate to make (verb suffix)
mitigate = to make less
severe
exasperation = irritation
ation that which is (noun suffix)
irritation = annoyance
democracy = government
cy state of being (noun suffix) ruled by the people
obstinacy = stubbornness
mutineer = person who rebels
eer, er,
person who (noun suffix) lecher = person who lusts
or
censor = person who deletes
improper remarks
escent becoming (adjective suffix) evanescent = tending to
vanish
103
pubescent = arriving at
puberty
making, doing (adjective terrific = arousing great fear
fic
suffix) soporific = causing sleep
magnify = enlarge
fy to make (verb suffix)
pertrify = turn to store
pestiferous = carrying disease
producing, bearing
iferous
(adjective suffix) vociferous = bearing a loud
voice
puerile = pertaining to a boy
pertaining to, capable of
il, ile or child
(adjective suffix)
civil = polite
monotheism = belief in one
doctrine, belief (noun god
ism
suffix) fanaticism = excessive zeal;
extreme belief
realist = one who is realistic
ist dealer, doer (noun suffix) artist = one who deals with
art
ity state of being (noun suffix) credulity = state of being
unduly willing to believe
104
sagacity = wisdom
quantitative = concerned with
ive like (adjective suffix) quantity
effusive = gushing
harmonize = make
harmonious
ize, ise to make (verb suffix)
enfranchise = make free or
set free
ovoid = like an egg
anthropoid = resembling a
resembling, like (adjective
oid human being
suffix)
spheroid = resembling a
sphere
ose full of (adjective suffix) verbose = full of words
psychosis = diseased mental
condition
osis condition (noun suffix)
hypnosis = condition of
induced sleep
nauseous = full of nausea
ous full of (adjective suffix)
ludicrous = foolish
fortitude = state of strength
tude state of (noun suffix)
certitude = state of sureness
105
บทที ่ ๕๖
Preposition : On
Preposition คือ คำาทีท
่ ำาหน้าทีเ่ ชือ
่ มหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun กับ
noun, verb กับ noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ
pronoun
การใช้ ON
1). "on" ในความหมายแปลว่า "บน, ช้างบน " เพือ
่ แสดงตำาแหน่ง (Position) เช่น
คำาต่อไปนีต
้ ้องมี "on" อย่้เสมอนะครับ ^_^
based on = อาศัยรากฐานจาก call on = เยีย
่ ม
106
on business = ด้วยเรือ
่ งการค้า on the other hand = อีกนัยหนึง่
on pleasure = เพือ
่ ความสนุก on the contrary = โดยทางกลับกัน
on a visit = อย่้ระหว่างการเยีย
่ ม on one's way = อย่้ระหว่างเดินทาง
on a journey = อย่ร
้ ะหว่างการเดินทาง on foot = โดยเท้า
on horseback = โดยขีม
่ ้า on my account = เกีย
่ วกับฉัน
บทที ่ ๕๗
Preposition : In
107
pronoun
การใช้ IN
1). "in" ,
ในความหมายแปลว่า ใน ภายใน หรือ ในสถานที ่ เช่น
คำาต่อไปนีต
้ ้องมี "in" อย่้เสมอนะครับ ^_^
persist in = ยืนกราน involved in = เข้าไปมีส่วนร่วม
believe in = มีความเชือ
่ มัน ,
่ ใน นับถือ absorb in = สนใจมาก ครำ่าเคร่ง ,
in a way (in some way) = โดยวิธีใดวิธี
share in = ส่วนแบ่งใน
หนึง่
in debt = มีหนีส
้ ิน in a sense = ในความหมายหนึง่
บทที ่ ๕๘
Preposition : At
109
pronoun
การใช้ AT
1). "at" แปลว่า ที ่ แสดงตำาแหน่ง (position) เช่น at home, at the railway
station, at school, at the theatre เป็นต้น
16.30 น.
คำาต่อไปนีต
้ ้องมี "at" อย่้เสมอนะครับ ^_^
at this, at that = ,
ด้วยเหตุนี ้ นัน
้ at length, at last = ในทีส
่ ุด
at ease = พักเหนือ
่ ย at home = อย่ท
้ ีบ
่ ้าน
at hand = อย่แ
้ ค่เอือ
้ ม at peace = ในยามสงบ
at first = เริม ,
่ แรก ครัง้ แรก at play = ,
ขณะเล่น กำาลังเล่น
at once = ,
ทันที เดีย
๋ วนี ้ at rest = ขณะพักผ่อน
at least = อย่างน้อยทีส
่ ุด at short notice = เพียงแวบเดียว
at most = อย่างมากทีส
่ ุด at breakfast = ขณะรับประทานอาหารเช้า
at best = อย่างดีทีส
่ ุด at dinner = ขณะรับประทานอาหารเย็น
at worst = อย่างแย่ทส
ี ่ ุด at work = ขณะทำางาน
at sea = อย่ท
้ ีท
่ ะเล at times = ,
บางครัง้ บางเวลา
111
บทที ่ ๕๙
Preposition : By
Preposition คือ คำาทีท
่ ำาหน้าทีเ่ ชือ
่ มหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun กับ
noun, verb กับ noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ
pronoun
การใช้ BY
แปลว่า "เมือ่ ถึง" ให้หลังกริยาใดๆ หมายความว่า การกระทำานัน
้ จะมีขึน
้ เมือ
่ ถึงเวลานัน
้ เช่น
นอกจากนีอ
้ าจจะแปลได้ว่า "ข้างๆ, , , ,
ใกล้ โดย ด้วย ผ่านไป ตาม , " สามารถใช้กับสถานทีไ่ ด้ เช่น
by the bridge (ข้างสะพาน), by the side of the road (ทีข่ ้างๆ ถนน )
การใช้ BY ทีน
่ ่าสนใจ
1. to go by the board = ,
ถ้กยกเลิก ล้มเหลว
4. by chance = โดยบังเอิญ
7. by force = ด้วยการใช้กำาลัง
คำาต่อไปนีต
้ ้องนำาหน้าด้วย "BY" นะครับ ^_^
by ship = โดยทางเรือ by car = โดยรถยนต์
by plane = โดยเครือ
่ งบิน by bus = โดยรถประจำาทาง
บทที ่ ๖๐
Preposition : Out of
Preposition คือ คำาทีท
่ ำาหน้าทีเ่ ชือ
่ มหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun กับ
noun, verb กับ noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ
pronoun
การใช้ OUT OF
"out of" ,
แปลว่า ออกจาก จาก นอก เนือ , ,
่ งจาก ใช้กับกริยาทีแ
่ สดงอาการเคลือ
่ นทีอ
่ อกจาก ซึง่
out of condition = ,
ไม่เหมาะ ผิดเงือ
่ นไข out of crop = พ้นฤด้พืชผล
114
out of date = ,
พ้นสมัย ล้าสมัย out of turn = ,
ผิดรอบ ผิดวาระ
บทที ่ ๖๑
Preposition : With
Preposition คือ คำาทีท
่ ำาหน้าทีเ่ ชือ
่ มหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun กับ
noun, verb กับ noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ
pronoun
115
การใช้ WITH
"with" มักใช้แสดงถึงเครือ
่ งมืออุปกรณ์ เช่น
กริยาทีต
่ ้องตามด้วย "with" เสมอ
angry with = ,
โกรธ โมโห covered with = ปกคลุมด้วย
บทที ่ ๖๒
noun, verb กับ noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ
pronoun
การใช้ BEFORE
before , ,
แปลว่า ก่อน ก่อนหน้า มาก่อน ตรงหน้า , , ต่อหน้า
การใช้ AFTER
after ,
แปลว่า ภายหลัง หลังจาก
ประทานอาหารเช้าแล้ว
บทที ่ ๖๓
Preposition : Of
Preposition คือ คำาทีท
่ ำาหน้าทีเ่ ชือ
่ มหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำาต่อคำา เช่น noun กับ
noun, verb กับ noun, verb กับ pronoun,pronoun กับ noun, noun กับ
pronoun
การใช้ OF
(1). ใช้ of ในความหมายถึงเป็นสาเหตุของเหตุการณ์นัน
้ ๆ เช่น
to die of hunger/starvation/explosure = /
ตายด้วยความหิวโหย ความอดอยาก
ลักษณะพิเศษ , ชายมีความสามารถพิเศษหลายด้าน
กริยาทีต
่ ้องตามด้วย "OF" เสมอ
sure of = เชือ
่ แน่ suspect of = สงสัย