ข้ามไปเนื้อหา

พระราชวังเซนต์เจมส์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระราชวังเซนต์เจมส์
St. James’s Palace
ด้านหน้าทางเช้าพระราชวังเซนต์เจมส์
แผนที่
ข้อมูลทั่วไป
ประเภทพระราชวัง
สถาปัตยกรรมสถาปัตยกรรมแบบทิวดอร์
เมืองกรุงลอนดอน
ประเทศสหราชอาณาจักร
พิกัด51°30′17″N 0°08′15″W / 51.50472°N 0.13750°W / 51.50472; -0.13750
ผู้สร้างสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8

พระราชวังเซนต์เจมส์ (ภาษาอังกฤษ: St. James’s Palace) เป็นพระราชวังที่เก่าแก่ที่สุดพระราชวังหนึ่งในกรุงลอนดอนในสหราชอาณาจักร สร้างโดยสมเด็จพระเจ้าเฮนรีที่ 8บนที่เดิมเป็นโรงพยาบาลคนโรคเรื้อนที่อุทิศให้แก่นักบุญเจมส์ ลูกของอัลเฟียส[1] ซึ่งเป็นชื่อที่พระราชวังและอุทยานตั้งตาม โรงพยาบาลถูกยุบเลิกเมื่อปี ค.ศ. 1532.[2] พระราชวังใหม่มีความสำคัญเป็นลำดับสองรองจากพระราชวังไวท์ฮอลในความสนพระทัยของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ตัววังสร้างด้วยอิฐแดงเป็นสถาปัตยกรรมแบบทิวดอร์รอบลานสี่ลาน Gatehouse ทางด้านเหนือยังคงอยู่พร้อมด้วยหอแปดเหลื่ยม เมื่อพระราชวังไวท์ฮอลถูกทำลายจากไฟไหม้ พระราชวังเซนต์เจมส์กลายเป็นที่ประทับทางการของราชวงศ์อังกฤษตั้งแต่ปี ค.ศ. 1698 และใช้เป็นที่ทรงว่าราชการของพระมหากษัตริย์มาจนถึงทุกวันนี้

สมเด็จพระราชินีนาถแมรี สิ้นพระชนม์ในพระราชวัง หัวใจและเครื่องในของพระองค์ถูกฝังไว้ภายในโบสถ์หลวงภายในพระราชวัง สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1 บรรทมที่นี่คืนหนึ่งระหว่างที่ทรงรอกองทัพเรือสเปนที่ล่องขึ้นมาทางช่องแคบอังกฤษ สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 บรรทมที่พระราชวังเซนต์เจมส์คืนก่อนที่จะทรงถูกสำเร็จโทษในปี ค.ศ. 1649 โอลิเวอร์ ครอมเวลล์เปลื่ยนพระราชวังเป็นค่ายทหารระหว่างสมัยสาธารณรัฐอังกฤษ สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 พระราชโอรสของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 เปลี่ยนกลับคืนมาเป็นพระราชวังและทรงวางผังอุทยานเซนต์เจมส์

อ้างอิง

[แก้]
  1. The uncertainty as to which James was intended is expressed in the Survey of London ascription (http://www.british-history.ac.uk/report.aspx?compid=45186. Edward Walford, 'St James's Palace', Old and New London Vol. 4 (1878:100-122. Date accessed: 22 February 2008.) of the hospital's dedication to "St. James the Less, Bishop of Jerusalem"; bishop of Jerusalem was a title of James the Just, brother of Jesus.
  2. Pevsner, Nikolaus. The Buildings of England: London 6: Westminster (2003), pp 594-601