ผู้ใช้:Gm ant/ทดลองเขียน
นี่คือหน้าทดลองเขียนของ Gm ant หน้าทดลองเขียนเป็นหน้าย่อยของหน้าผู้ใช้ ซึ่งผู้ใช้มีไว้ทดลองเขียนหรือไว้พัฒนาหน้าต่าง ๆ แต่นี่ไม่ใช่หน้าบทความสารานุกรม ทดลองเขียนได้ที่นี่ หน้าทดลองเขียนอื่น ๆ: หน้าทดลองเขียนหลัก |
บน: ตัวควบคุม Kinect และเครื่องเล่นเกมเอกซ์บอกซ์วันรุ่นดั้งเดิมสีดำ ล่าง: เครื่องเล่นเกมเอกซ์บอกซ์วันรุ่น S สีขาว | |
ผู้พัฒนา | ไมโครซอฟท์ |
---|---|
ผู้ผลิต | Flextronics, Foxconn[1] |
ตระกูล | เอกซ์บอกซ์ |
ชนิด | เครื่องเล่นวิดีโอเกม |
รุ่นที่ | ยุคที่ 8 |
วางจำหน่าย |
|
ราคาเบื้องต้น | 499 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐ[2]/499 ยูโร[2]/429 ปอนด์[2]/49,980 เยน[3]/3,699 หยวน[4] |
หน่วยขาย | See Sales section.[7] |
หน่วยส่ง | See Sales section.[7] |
สื่อ | รุ่น S และ X: บลูเรย์ความละเอียดสูงยิ่งยวด ทุกรุ่น: บลูเรย์,[8] ดีวีดี, ซีดี |
ระบบปฏิบัติการ | Xbox One system software |
หน่วยประมวลผล | รุ่นดั้งเดิมและรุ่น S:หน่วยประมวลผลแบบ 8 คอร์ แบบ APU (ประกอบไปด้วยโมดูลหน่วยประมวลผล 2 โมดูลของซีพียูสถาปัตยกรรมแบบจากัวร์)[8][9]ความเร็ว 1.75GHz รุ่น X: หน่วยประมวลผลแบบ 8 คอร์ แบบ APU (ประกอบไปด้วยโมดูลหน่วยประมวลผล 2 โมดูลของซีพียูสถาปัตยกรรมแบบอีโวล์จากัวร์)[10]ความเร็ว 2.3GHz |
ความจุ | ทุกรุ่น: 1 เทอราไบต์ รุ่นดั้งเดิมและรุ่น S: 500 กิกะไบต์ รุ่น S: 2 เทอราไบต์ |
หน่วยความจำ | รุ่นดั้งเดิมและรุ่น S: 8 GB DDR3 (5 GB available to games) รุ่น X: 12 GB GDDR5 (มีพื้นที่ 9 GB สำหรับเกม) |
การแสดงผล | รุ่น S และ X: 4K ทุกรุ่น: 1080p และ 720p |
กราฟฟิก | เอกซ์บอกซ์ วัน: ความเร็ว 853 MHz รุ่น S 914 MHz รุ่น X 1.172 GHz โดยเป็นสถาตปัตยกรรม AMD GCN (ที่อยู่ภายใน APU) |
ระบบเสียง | 7.1 surround sound |
การรับเข้า | HDMI |
ควบคุมผ่าน | ตัวควบคุมของเอกซ์บอกซ์วัน, Kinect สำหรับเอกซ์บอกซ์วัน, คีย์บอร์ด, เมาส์ |
กล้อง | กล้องความละเอียด 1080p (Kinect) |
การเชื่อมต่อ | Wi-Fi มาตรฐาน IEEE 802.11n, ช่อง Ethernet, ช่อง USB 3.0 3 ช่อง,ช่อง HDMI 1.4 (เอกซ์บอกซ์วัน) HDMI 2.0 (เอกซ์บอกซ์วัน S) in/out,[11] HDMI 2.0b (เอกซ์บอกซ์วัน X) ,ช่อง S/PDIF, IR,พอร์ต Kinect (เอกซ์บอกซ์วัน) |
บริการออนไลน์ | เอกซ์บอกซ์ไลฟ์ |
Backward compatibility | Selected Xbox 360 games, selected Xbox games |
รุ่นก่อนหน้า | เอกซ์บอกซ์ 360 |
เว็บไซต์ | www |
เอกซ์บอกซ์ วัน เป็นชื่อเรียกเครื่องเล่นวิดีโอเกมที่ถูกผลิตออกมาในช่วงเครื่องเล่นวิดีโอเกมยุคที่ 8 ซึ่งพัฒนาโดยไมโครซอฟท์ มีการเปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม 2556 โดยเป็นรุ่นถัดมาของเอกซ์บอกซ์ 360 และเป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมเครื่องที่ 3 ภายใต้ชื่อเอกซ์บอกซ์ โดยมมีการวางจำหน่ายช่วงแรกในทวีปอเมริกาเหนือ บางส่วนของยุโรป ออสเตรเลียและอเมริกาใต้ในเดือนพฤศจิกายน 2556 ต่อมาได้วางจำหน่ายในญี่ปุ่น จีน และชาติอื่น ๆ ในทวีปยุโรปซึ่งไม่ได้วางจำหน่ายในรอบแรกในเดือนกันยายน 2557 โดยนับว่าเป็นเอกซ์บอกซ์รุ่นแรกที่วางจำหน่ายในประเทศจีน ภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีนครเซี่ยงไฮ้ ไมโครซอฟท์ได้นิยามเอกซ์บอกซ์ในการทำตลาดรุ่นนี้ว่าเป็น "ระบบให้ความบันเทิงแบบ [12] โดยเอกซ์บอกซ์ วันนั้นถือเป็นคู่แข่งของเครื่องเล่นวิดีโอเกมอื่น ๆ อย่างเพลย์สเตชัน 4 ของโซนีและเครื่องเล่นวิดีโอเกมของนินเทนโดอย่าง วียู และ สวิตช์
เอกซ์บอกซ์ วัน ได้เปลี่ยนสถาปัตยากรรมของหน่วยประมวลผลกลางในเครื่องจากสถาปัตยกรรม PowerPC ของ IBM ในรุ่น 360 มาเป็นสถาปัตยกรรมแบบ x86 เมื่อกับที่เคยใช้ในเครื่องเอกซ์บอกซ์รุ่นแรก ซึ่งประกอบไปด้วยหน่วยประมวลผลแบบ APU จาก AMD ส่วนตัวควบคุมของเอกซ์บอกซ์ วันนั้นเป็นการดีไซน์อิงจากตัวควบคุมของเอกซ์บอกซ์ 360 โดยออกแบบรูปร่าง ปุ่มควบคุมทิศทางและก้านควบคุมให้เกิดปฏิกริยาสั่นโดยตรง เครื่องเล่นวิดีโอเกมนี้ยังเพิ่มความสามารถสำคัญด้านการคำนวณบนกลุ่มเมฆเข้ามาด้วย เช่นเดียวกับคุณสมบัติของบริการทางสังคม คุณสมบัติการอัดวิดีโอ แบ่งปันคลิปและวิดีโอจากเกมเพล ถ่ายทอดสดโดยตรงไปยังเครือข่ายสังคมด้านนี้เช่นทวิช หรือ มิกซ์เซอร์ เกมของเครื่องเอกซ์บอกซ์วันยังสามารถเล่นจากเครื่องเล่นผ่านระบบเครือข่ายท้องถิ่นไปยังคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 10 นอกจากนี้เครื่องเอกซ์บอกซ์วันยังสามารถเล่นแผ่นบูลเรย์ แสดงผลทับซ้อนรายการทีวีที่เชื่อมต่อผ่านกล่องรับสัญญาณภาคพื้น เอกซ์บอกซ์ วัน รุ่นแรกยังมาำร้อมกับกล้อง Kinect ใหม่ ซึ่งทำการตลาดในชื่อ "Kinect 2.0" ที่ปรับปรุงตัวตรวจจับการเคลื่อนไหวและการสั่งงานด้วยเสียง
เอกซ์บอกซ์ วันได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกเกี่ยวกับการออกแบบตัวควบคุม คุณสมบัติด้านมัลติมีเดีย การสั่งงานด้วยเสียง การออกแบบตัวเครื่องที่เงียบและเย็นลงทำให้ได้รับความน่าเชื่อถือในช่วงวันว่างจำหน่ายที่ดีกว่าเครื่องรุ่นก่อนหน้า แต่เป็นที่รับรู้โดยทั่วไปว่าการแสดงผลเกมของเอกซ์บอกซ์ วันมีคุณภาพกราฟิกที่ต่ำกว่าที่เพลย์สเตชัน 4 สามารถแสดงได้ ในส่วนต่อประสานกับผู้ใช้แบบเดิมนั้นได้รับคำวิจารณ์ที่ไม่ดีนัก แต่ภายหลังถูกเปลี่ยนไปให้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้นหลังจากการอัพเดทหลังการวางจำหน่ายซึ่งทำให้มันได้การวิจารณ์ในด้านบวก ส่วน Kinect ได้รับคำวิจารณ์ชื่นชมเกี่ยวกับการปรับปรุงตัวตรวจจับการเคลื่อนไหว การเข้าสู่ระบบด้วยใบหน้า และการสั่งงานด้วยเสียง
เอกซ์บอกซ์วันรุ่นแรกนั้นถูกแทนที่ด้วยเอกซ์บอกซ์วัน S ซึ่งวางจำหน่ายเมื่อ 2559 ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าและรองรับการแสดงภาพแบบ HDR 10 เช่นเดียวกับการแสดงผลวิดีโอแบบ 4K และการอัพเกรดสัดส่วนการแสดงผลจากความละเอียด 1080p สู่ 4K โดยได้รับคำชื่นชมในเรื่องขนาดที่เล็กลง การแสดงผลบนหน้าจอที่ดีขึ้นและการหายไปของ Power Supply ด้านนอก แต่ก็มีการถอดช่อง Kinect ออกไป ส่วนรุ่นสูงอย่างเอกซ์บอกซ์วัน X ซึ่งเปิดตัวและวางจำหน่ายในปี 2560 นั้นเป็นเครื่องที่ได้รับการอัพเกรดสเป็คเครื่องภายในและการแสดงผลภาพของเกมให้มีความละเอียดแบบ 4K
ประวัติ
[แก้]เอกซ์บอกซ์ วัน เป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมของไมโครซอฟท์ที่สืบทอดเอกซ์บอกซ์ 360 ซึ่งเปิดตัวเป็นช่วงของเครื่องเล่นวิดีโอเกมยุคที่ 7 ในปี ค.ศ. 2005[13] ที่เมื่อเวลาผ่านไป เอกซ์บอกซ์ 360 ได้รับการแก้ไขในการลดขนาดเครื่องและปรับปรุงเสถียรภาพของเครื่องหลายครั้ง[14] ในปี ค.ศ. 2010 Chris Lewis หัวหน้าทีมเอกซ์บอกซ์ของทวีปยุโรป กล่าวว่า "เอกซ์บอกซ์ 360 ได้มาถึงครึ่งทางของวงจรชีวิตของมันแล้ว" ; โดยได้รับการช่วยเหลือจากการเปิดตัวเซ็นเซอร์ Kinect เมื่อปีนี้, ซึ่ง Lewis ระบุว่าจะช่วยยืดวงจรชีวิตของเครื่องไปได้อีก 5 ปี[15]
ชื่อย่อของฮาร์ดแวร์ที่สืบทอดเอกซ์บอกซ์ 360 โดยทั่วไปถูกอ้างอิงในอุตสาหกรรมว่า "เอกซ์บอกซ์ 720",[16] ซึ่งถูกรายงานว่าเริ่มต้นการพัฒนาในช่วงเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2011[17] โดยชุดเครื่องมือพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างเป็นทางการมีชื่อเรียกว่า Durango,[18] และได้ปรากฏเพื่อให้ส่งต่อให้นักพัฒนาในช่วงกลางปี 2012[19] เอกสารที่หลุดมาระบุว่าเครื่องเล่นวิดีโอเกมเครื่องใหม่นี้ประกอบไปด้วยการ Kinect การประมวลผลบนกลุ่มเมฆสำหรับเกมและสื่อ การรองรับการทำงานร่วมกับมอืถือและแท็บเล็ต ไมโครซอฟท์ไม่ได้มีความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับความสามารถที่หลุดมาตามเอกสารนี้[20] เอกสารหลุดด้านการออกแบบยังระบุให้เห็นว่า ไมโครซอฟท์กำลังมองหาหนทางที่จะกำจัดความสามารถในการเล่นเกมที่เปิดใช้แล้ว ซึ่งภายหลังไมโครซอฟท์ได้ชี้แจงว่า "เอกสารข้างต้นยังคงอยู่ในการหารือและกำลังคิดเกี่ยวกับอนาคตและทำอย่างไรที่พวกเราจะสามารถผลักดันกำแพงของเทคโนโลยีไปให้เหมือนกับที่พวกเราทำกับ Kinect" แต่ไม่ได้พูดถึงความชัดเจนของข้อมูลเหล่านี้ [21]
การเปิดตัวครั้งแรกและการเปลี่ยนแปลงภายหลัง
[แก้]เครื่องเล่นวิดีโอเกมนี้เปิดเผยต่อสาธารณะครั้งแรกภายใต้ชื่อ เอกซ์บอกซ์ วัน เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ. 2013 ในงานแถลงข่าวที่ออกแบบมาเพื่อแสดงถึงความสามารถทางสื่อบันเทิงและความสามารถทางสังคม[22][23][24] งานแถลงข่าวครั้งที่สองซึ่งจัดขึ้นภายในงาน E3 2013 มุ่งเน้นไปยังความสามารถด้านวิดีโอเกม[25] ในเวลานั้น ไมโครซอฟท์ประกาศว่าเครื่องเล่นวิดีโอเกมนี้จะวางจำหน่ายใน 21 ประเทศ ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2013 แต่ในภายหลังปรับลดเหลือ 13 ประเทศ[26][27] การเปลี่ยนแปลงซึ่งทำให้วันวางจำหน่ายของ 8 ประเทศที่เหลือเลื่อนไปวางจำหน่ายในปี 2014 นั้น เนื่องมาจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดระหว่างการเทศวิวัตน์ระบบการรับรู้เสียงพูดของเครื่อง[28] ภายหลังจากนั้น ในเดือนกันยายน 2014 เอกซ์บอกซ์ วัน วางจำหน่ายใน 26 ประเทศ ได้แก่ประเทศในทวีปยุโรปที่ไม่ได้วางจำหน่ายในครั้งแรก ประเทศญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง[26][27][29][30][31]
ในเบื้องต้นไมโครซอฟท์ประกาศว่าระบบการจัดการสิทธิ์การใช้งานเกมสำหรับเอกซ์บอกซ์ วัน (ที่ในท้ายที่สุดแตกต่างไปจากสิทธิ์ที่ใช้เมื่อวางจำหน่ายจริง) มีรายละเอียดได้แก่ เกมทั้งหมด รวมถึงเกมที่ซื้อแบบแผ่น จะเชื่อมโยงกับบัญชีเอกซ์บอกซ์ ไลฟ์ของผู้ใช้ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเกมที่ซื้อจากเครื่องเอกซ์บอกซ์ วัน เครื่องอื่น โดยไม่ต้องใช้แผ่นหลังจากติดตั้งในการเล่นเกม และอนุญาตให้ "แชร์" เกมกับสมาชิก "ครอบครัว" ที่กำหนดไว้สูงสุด 10 คน โดยผู้ใช้สามารถขาย/แลกเปลี่ยนเกมที่ "ร้านค้าที่ร่วมรายการ" และสามารถโอนเกมโดยตรงไปยังเพื่อนในรายชื่อเอกซ์บอกซ์ ไลฟ์คนใดคนหนึ่งได้นาน 30 วัน แต่ทำได้เพียงครั้งเดียว ทั้งนี้เพื่อซิงโครไนซ์สิทธิ์การใช้งาน ตัวเครื่องจำเป็นต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทุก 24 ชั่วโมง หากเครื่องเชื่อมต่อไม่ได้ เกมทั้งหมดจะใช้งานไม่ได้จนกว่าจะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอีกครั้ง[32][33][34]
ระบบการจัดการสิทธิ์ดิจิทัลดังกล่าวได้รับเสียงตอบรับเชิงลบอย่างมาก บรรดาผู้วิจารณ์รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวละเมิดสิทธิ์การขายครั้งแรกของผู้บริโภคสำหรับเกมที่ซื้อมาในรูปแบบแผ่น เนื่องจากเกมจะต้องได้รับอนุญาตก่อนที่จะให้ผู้ใช้จะใช้งานจะขายได้แทนที่จะขายออกไปได้เลย และแผ่นเกมนั้นจะถูกใช้สำหรับติดตั้งเกมเท่านั้น ไม่ได้มอบสิทธิ์การครอบครองใบอนุญาตหรือสิทธิ์ในการขายต่อ นอกจากนี้ไมโครซอฟท์ยังระบุว่าผู้จัดจำหน่ายเกมยังสามารถกำหนดข้อจำกัดหรือค่าธรรมเนียมการเปิดใช้งานสำหรับเกมมือสอง[35][36][37][38][39][40][41] ทอม แม็กชี บรรณาธิการจาก GameSpot กล่าวว่า Microsoft กลายเป็นบริษัทที่ต่อต้านผู้บริโภค พยายาม "ลงโทษลูกค้าที่ภักดี" ด้วยข้อจำกัดที่เข้มงวด และ "ด้วยการปฏิเสธข้อจำกัดเกมมือสองและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลาที่ไมโครซอฟท์นำมาใช้กับเอกซ์บอกซ์ วันอย่างมีความสุขนั้น โซนี่ได้ยกระดับ PlayStation 4 ให้เป็นคอนโซลที่ได้รับความนิยมในช่วงเทศกาลปลายปีที่จัดจำหน่ายนี้อย่างแน่นอน[42] ยูซุฟ เมห์ดี ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดและกลยุทธ์ของ Xbox อธิบายว่า ระบบนี้สร้างขึ้นโดยคำนึงถึงการจัดจำหน่ายแบบดิจิทัล แต่ไมโครซอฟท์ต้องการรักษาเกมให้มีวางจำหน่ายบนแผ่น เขาเสริมว่าไมโครซอฟท์ไม่ได้ "ยอมแพ้" ต่อข้อโต้แย้งของผู้จัดจำหน่ายในเรื่องเกี่ยวกับเกมมือสอง แต่พยายามที่จะสร้างสมดุลระหว่างความต้องการของผู้บริโภคและอุตสาหกรรม และความสามารถในการซื้อขายและแบ่งปันบนแพลตฟอร์มนี้ เพิ่มระดับความยืดหยุ่นที่ไม่เคยมีมาก่อนในแพลตฟอร์มการจัดจำหน่ายออนไลน์อื่น ๆ ในเวลานั้น[43]
On June 19, 2013, shortly after E3 2013, Microsoft announced (in response to the negative reaction) that it would reverse its changes to Xbox One's DRM and game licensing model.[44][45] As with Xbox 360, users would be able to share and resell physical games without restrictions, and beyond a mandatory software update upon the console's initial setup process to enable playback of Blu-ray and DVD video,[46] the console would not require a permanent internet connection to operate. These changes required the family sharing features, along with the ability to play games without their disc after installation, to be dropped.[35][47] Xbox One chief product officer Marc Whitten stated that the family sharing feature may return in the future, but could not be implemented on launch due to time restraints.[48][49] Don Mattrick, the then president of Microsoft's Interactive Entertainment Business, stated that the licensing changes were in response to the negative public reaction.[50] Other analysts believed that the change was in direct response of Sony's aggressive position during its E3 press conference.[51] Mattrick, who had been a leader in Xbox One development, announced his departure from Microsoft on July 1, 2013, to become CEO of Zynga. Analysts speculated that his departure was predicated on the poor response and subsequent reversal of the plans for Xbox One.[52]
Microsoft also backtracked on a similarly controversial requirement for the Kinect sensor to be plugged into Xbox One at all times for it to function. Privacy advocates argued that Kinect sensor data could be used for targeted advertising, and to perform unauthorized surveillance on users. In response to these claims, Microsoft reiterated that Kinect voice recognition and motion tracking can be disabled by users, that Kinect data cannot be used for advertising per its privacy policy, and that the console would not redistribute user-generated content without permission.[53][54][55][56][57][58] In response to these pre-launch changes and a belief that Microsoft's decisions for the systems were in poor judgement, journalists and consumers jokingly gave Xbox One nicknames such as "Xbox 180", in reference to the Xbox 360 and Microsoft's decision to reverse its controversial decisions, and "Xbone", suggesting that the company was "throwing a bone" to consumers by making these changes.[59][60][61][62]
In 2015, four members of an international hacking group pleaded guilty to gaining unauthorized access to Microsoft's computer network and obtaining sensitive information relating to Xbox One and Xbox Live.[63] At the time of the security breach, Microsoft was in the development stage for its next-generation gaming system. Between 2011 and 2013, the hackers spent hundreds of hours searching through Microsoft's network copying log-in credentials, source code, technical specifications and other data. Group members say they were driven by an immense curiosity about Microsoft's then-unreleased Xbox One console and associated software. "Using stolen access credentials", two of the hackers also committed a physical theft by entering "a secure building on Microsoft's Redmond Washington campus" and carrying away three "Durango" development kits.[64][65]
On June 13, 2016, during its E3 2016 press conference, Microsoft unveiled Xbox One S, a revision of the original Xbox One hardware with a streamlined form factor.[66] Microsoft also teased a high-end version of Xbox One with upgraded hardware codenamed "Project Scorpio", which was unveiled and released the following year as Xbox One X.[67]
ฮาร์ดแวร์
[แก้]การออกแบบ
[แก้]The original Xbox One's exterior casing consists of a two-tone "liquid black" finish; with half finished in a matte grey, and the other in a glossier black. The matte side of the top of the console consists of a large air vent. The design was intended to evoke a more entertainment-oriented and simplified look than previous iterations of the console; among other changes, the LED rings used by Xbox 360 are replaced by a glowing white Xbox logo used to communicate the system's status to the user.[68] Due to the overall ventilation design of the console, the original Xbox One is designed to only sit horizontally.[69]
Xbox One S utilizes a refreshed version of this design, with a case that is 40% smaller in size, and supports vertical orientation with a stand. The main Xbox One S SKU is colored in an entirely matte "Robot White" finish, with half of the console adorned with machined holes, and a visible circular vent on top of the console's right half. It utilizes push-button controls rather than capacitive keys,[66] the side USB port and controller sync button were moved to the front of the console, and its power supply is integrated into the console's casing rather than sitting externally (plugging directly into the wall).[70][71]
ภายใน
[แก้]Xbox One is powered by an AMD "Jaguar" Accelerated Processing Unit (APU) with two quad-core modules totaling eight x86-64 cores clocked at 1.75 GHz,[9][72] and 8 GB of DDR3 RAM with a memory bandwidth of 68.3 GB/s.[9][73] The memory subsystem also features an additional 32 MB of "embedded static" RAM, or ESRAM, with a memory bandwidth of 109 GB/s.[74] For simultaneous read and write operations, the ESRAM is capable of a theoretical memory bandwidth of 192 GB/s and a memory bandwidth of 133 GB/s has been achieved with operations that involved alpha transparency blending.[75] The system includes a non-replaceable hard drive[76] and a Blu-ray Disc optical drive.[24][77][78] 138 GB of hard drive space is used by the operating system, with the remainder available for the storage of games.[79] Since the June 2014 software update, up to two USB drives can be connected to Xbox One to expand its capacity. External drives must support USB 3.0 and have a capacity of at least 256 GB.[80]
It was reported that 3 GB of RAM would be reserved for the operating system and utility software, leaving 5 GB for games.[81][82][83][84] With DirectX 11.2 as the console's API,[85] the graphics processing unit (GPU) is based on an AMD GCN architecture with 12 compute units, which have a total of 768 cores,[73] running at 853 MHz providing an estimated peak theoretical power of 1.31 TFLOPS.[86] For networking, Xbox One supports Gigabit Ethernet, 802.11n wireless, and Wi-Fi Direct.[87]
—Greg Williams, GM of Xbox silicon development[88]
The original Xbox One supports 1080p and 720p video output; unlike the Xbox 360, the Xbox One does not support 1080i and other interlaced resolutions. Xbox One supports HDMI 1.4 for both input and output, and does not support composite or component video.[24][77][89] Xbox One supports 7.1 surround sound, Dolby Atmos, and DTS X.[90][77]
Xbox One S additionally supports 2160p (4K resolution) video output, and high dynamic range (HDR) color using HDR10 (with a future update to add Dolby Vision HDR support for streaming video).[91] 4K video can be played from supported streaming services and Ultra HD Blu-ray Disc,[92][93][94] Games are upscaled from 1080p resolution, and are not rendered at 4K.[66] The GPU on Xbox One S has a higher clock speed and ESRAM bandwidth than the original model, which can provide some performance improvements on games with dynamic resolution scaling or uncapped frame rates.[95][96][97]
The console can monitor its internal temperature and adjust accordingly to prevent overheating; alongside increasing fan speed, additional measures can be taken, including forcing the hardware to run in a lower power state—a feature that was not present on Xbox 360. Restricting power consumption lowers maximum performance, but the setting would be intended as a last resort to prevent permanent hardware damage.[98]
ตัวควบคุม
[แก้]The Xbox One's controller maintains the overall layout found in the Xbox 360's controller, but with various refinements to its form. Among its changes include a smoother form, textured analog sticks, a four-way directional pad, and redesigned triggers and shoulder buttons with a curved shape for ergonomics.[99][100][101][102] "Menu" and "View" buttons have replaced the Start and Back buttons.[103] Each trigger features independent rumble motors called "Impulse Triggers", which allows developers to program directional vibration. One trigger can be made to vibrate when firing a gun, or both can work together to create feedback that indicates the direction of an incoming hit.[104] The controller also contains light emitters that allow it to be tracked and paired using the Kinect sensor, and to detect when it's not being held to automatically enter a low-power state.[100] An updated revision of the controller was released in June 2015, which includes a 3.5-millimeter headphone jack and other minor changes.[105][106] A third revision was introduced alongside and first bundled with Xbox One S, with textured grips and Bluetooth support.[92][107]
The Xbox One controller includes a micro USB port; when attached via a micro-USB cable, the controller can operate without battery power and can charge remotely, and is supported on computers running Windows 7 or later with drivers.[100][108] The Xbox One Wireless Adapter accessory allows wireless use of Xbox One controllers on Windows computers also running Windows 7 or later.[109][110]
The Elite Wireless Controller was released in October 2015. It was described and marketed as "an elite controller for the elite gamer", containing interchangeable parts, "hair trigger locks" for the triggers that allow users to reduce the amount of distance they must be pressed to register a press, and software for remapping buttons.[111][112][113]
In May 2018, Microsoft announced the Xbox Adaptive Controller—a special controller designed for users with disabilities. It features two large dome-like buttons, and a series of connectors corresponding to standard Xbox controller buttons—which are used to attach specific types of buttons and other assertive peripherals. The controller can also be used in conjunction with Copilot—a feature introduced in 2017 that allows multiple controllers to be used in tandem on behalf of a single player.[114][115]
As of the November 2018 update, developers may now optionally allow their titles to support computer mice and keyboards as input. Microsoft also unveiled an exclusive partnership with Razer Inc. to produce a specific line of Xbox-optimized keyboard and mice peripherals, with Xbox system keys and support for Razer's dynamic lighting ecosystem Chroma.[116][117][118]
เซ็นเซอร์ Kinect 2.0
[แก้]The Kinect 2.0, an updated natural user interface sensor, was redesigned and recreated to provide motion-tracking and voice commands for the Xbox One.[119]
Kinect 2.0 features a wide-angle time-of-flight camera[120] and a 1080p camera, in comparison to the VGA resolution of the Xbox 360 version, and processes 2GB of data per second to map its environment. Kinect 2.0 has an improved accuracy over its predecessor; it can track up to 6 people simultaneously, referred to as "skeletons", perform heart rate tracking, track controller gestures, and read QR codes to redeem Xbox Live gift cards. By default, voice recognition is active at all times, so the console can receive voice commands from the user, even when the console is in sleep mode. It is possible to wake the console with a command, although settings are available to change which individual Kinect functions are active.[119][121][122][123]
Prior to and after the mandate, all Xbox One consoles initially shipped with the Kinect sensor included. On June 9, 2014, cheaper Xbox One bundles were introduced, which did not include the Kinect sensor.[124] Microsoft stated the decision to offer Xbox One bundles without Kinect was to "[offer] a choice to people that would allow people to buy an Xbox One and then ramp up to Kinect when they can afford to", while also allowing games to use processing power that was previously reserved for Kinect.[125] An updated Xbox Development Kit issued in June 2014 allows developers to explicitly disable motion tracking functionality in games, allowing access to additional system resources that represent about 10% of the GPU processing power. These resources were previously reserved for Kinect skeletal tracking, regardless of whether the Kinect sensor was attached or in use.[125]
A Windows compatible Kinect 2.0 was released on July 15, 2014.[126] Kinect 2.0 was released as a standalone and optional item in October 2014; it is bundled with a digital copy of Dance Central Spotlight.[127]
Xbox One S lacks the Kinect connection port, requiring a USB/power adapter to use the accessory.[92] A free USB adapter was provided by Microsoft to Kinect owners who registered their ownership of Kinect and Xbox One S online up until March 2017. The adapter was sold separately thereafter, but has since been discontinued.[128][92][129] Kinect for Xbox One was officially discontinued on October 25, 2017.[130]
ซอฟท์แวร์และบริการ
[แก้]Xbox One runs two operating systems within a hypervisor; games run within one separate operating system, while apps and the user interface run within a stripped-down version of Microsoft Windows; the original system software was based on Windows 8, but it has since been changed to Windows 10.[131][132] This architecture allows resources to be allocated specifically to different aspects of the console's functions, including multitasking and Kinect processing, ensuring an "absolute guarantee of performance" for games.[133][134] Xbox One supports Universal Windows Platform apps, which can be designed to run across Xbox One, Windows 10, and Windows 10 Mobile in synchronization with the Windows platform.[131][135][136]
Xbox One's user interface uses Microsoft's Fluent Design System; previous iterations of the console's software used the Metro design language.[137] The dashboard is divided into "Home", "Mixer", "Community", "Entertainment", and "Store" sections, with the "Home" page further divided into "blocks" that can display pinned games/apps, as well as other content.[138][139] Pressing the Xbox Guide button opens a sidebar with access to common functions such as the friends list, apps, the user's party, and settings.[140] Users can go back to the dashboard while using games or apps using either the Xbox button on their controller or a voice command; up to four apps can run (either actively or in the background) at once, but only one game can run at a time.[137] Use of Kinect enables the ability to control the console via voice commands. Xbox One's voice control capabilities are similar to, albeit richer than those of Xbox 360.[141] The voice assistant Cortana was added in 2016 to provide expanded voice command functionality with natural language recognition.[142]
The dashboard originally used a layout similar to Windows 8's "Start screen", with a horizontal-scrolling, tile-based interface.[132][137][143] This design was replaced for Xbox Preview Program members in September 2015 with the current interface, known as "the New Xbox One Experience",[144] which was publicly released as part of the November 12, 2015 system update.[145][146] Alongside its new layout, support for Kinect motion controls on the dashboard were removed.[144]
The UI was refreshed again in April 2017, adding the new Guide sidebar and other new features.[147] At this time, the ability to "snap" apps as a sidebar for multi-tasking was removed.[148] The UI was further revamped in October 2017 to use elements of Windows 10's forthcoming design language, and adds a new, lighter color scheme option for the console's user interface.[138]
ความสามารถด้านสื่อบันเทิง
[แก้]The Xbox One can view and play content from DLNA servers and USB storage devices using the "Media Player" app.[149] An application allows playback of video from Blu-ray Disc, DVD and CD media.[46]
The console provides the ability to feed live television by serving as an HDMI pass-through for an existing television provider's set-top box or an optional Digital TV Tuner accessory that allows use of digital terrestrial television.[150] The console provides its own electronic program guide known as OneGuide, augmenting the existing streaming functionality to provide show recommendations based on viewing history, integrated access to "App Channels" corresponding to online video services, and voice control via Kinect. The set-top box and television are controlled by OneGuide using an IR blaster.[132][143][151][152]
The Xbox One does not provide full DVR functionality for recording television programs: executive Yusuf Mehdi indicated that the console would "work in tandem" with existing television services, but that Microsoft would need to work with them directly to provide extended functionality, such as DVR integration.[153] The digital TV tuner accessory allows limited DVR functionality for pausing and rewinding live TV for up to 30 minutes.[154] In June 2016, Microsoft announced that their plans for full DVR functionality for the Xbox One were on hold.[155]
เอกซ์บอกซ์ ไลฟ์
[แก้]The Xbox Live service has been scaled up to use 300,000 servers for Xbox One users.[156] Cloud storage is available to save music, films, games and saved content, and developers are able to use Live servers (along with the Microsoft Azure cloud computing platform) to offer dynamic in-game content and other functionality.[157] Users can have up to 1,000 friends.[158][159][160][32] The December 2016 software update added the new social networking feature Clubs, which allows users to join groups focused on specific interests or games, and Looking for group (LFG), a system to help users locate players to join their party for multiplayer play.[161]
Players can use the Upload Studio app to edit and share clips from the last five minutes of gameplay footage that is automatically recorded by the console.[162] Games can also be developed so that recording can automatically be triggered in response to notable events, such as achievements.[132] Xbox One supports streaming directly to the services Mixer[163][164] and Twitch. Users can use voice commands to immediately begin streaming footage of their current game directly to the service, and use Kinect's camera and microphone to record video and audio narration.[165] Users can feature recorded clips on their Xbox Live profile page in a "Showcase" section.[132]
As with Xbox 360, premium online features such as multiplayer, voice communication, broadcasting and Upload Studio require an Xbox Live Gold subscription to use. Unlike Xbox 360, a user's Xbox Live Gold subscription benefits apply to all other users of their designated "home" console as well, rather than requiring a separate subscription for each user.[166] Since June 2014, applications no longer require an Xbox Live Gold membership to use. Additional subscriptions for outside services such as Netflix may still be required.[167][168] Microsoft also extended its Games with Gold program to Xbox One, providing free Xbox 360 and Xbox One games to Xbox Live Gold subscribers on a monthly basis.[169][170]
จอภาพที่ 2 และการสตรีมมิ่ง
[แก้]The Xbox SmartGlass app provides extended functionality on Xbox One, allowing devices running Windows Phone, Windows 8, iOS and Android to be used as a companion device for Xbox One features, such as powering on the console, a remote control, accessing messages and the Activity Feed, purchasing content, and providing integration with certain games and content.[25][171][172] The SmartGlass app can also be used to stream live television to Android and Windows devices if the console is using a USB digital television tuner.[173]
On Windows 10, SmartGlass is succeeded by the Xbox App, which supports the local streaming of games from Xbox One to personal computers and tablets running Windows 10.[174] An Xbox One controller must be used, but Windows-compatible headsets and microphones can be used for voice chat. Games requiring Kinect are not supported, while Game DVR and online streaming are not available while using this functionality.[175]
Per a partnership with Oculus VR, users will also be able to stream Xbox One games to the Oculus Rift virtual reality headset by means of Xbox app for Windows 10; as of 2015 there were no immediate plans for direct integration between Xbox One and Oculus Rift.[176][177][178]
เกม
[แก้]Xbox One games are distributed at retail on Blu-ray Disc, and digitally as downloads through Xbox Games Store.[160][32] All Xbox One games must be installed to the console's storage: users can begin to play portions of a game (such as opening levels) once the installation or download reaches a specific point, while the remainder of the game is downloaded or installed in the background. Updates to games and system software are also downloaded in the background and while in standby.[179] If the game is installed from physical media, the disc is still required for validation purposes.[180] If the game is installed on another console, and that console owner no longer has access to the disc, the owner has the option of unlocking the install on their hard drive by purchasing it through Xbox Live; the installed game then acts as a game installed on the hard drive.[180] An active internet connection may be required for some games, particularly those that rely on server-side processing.[180]
Microsoft introduced an Early access program known as Xbox Game Preview in 2015, which allows developers launch unfinished games for consumers to purchase and beta test before its official launch.[181] Since June 2017, games may be promoted with additional icons that denote compatibility with hardware enhancements found in newer Xbox One models, including support for high-dynamic-range (HDR) colors (on Xbox One S and Xbox One X), native rendering at 4K resolution (Xbox One X), and specific optimizations for Xbox One X.[182]
ความเข้ากันได้กับเกมรุ่นก่อนหน้า
[แก้]ความเข้ากันได้กับเกมของเอกซ์บอกซ์ 360
[แก้]—Larry Hryb, Xbox Live Director of programming[183]
At its launch, the Xbox One did not have native backward compatibility with original Xbox or Xbox 360 games.[184][185] It had been a desired launch feature by Microsoft and had been actively under developed as early as 2007 under the "Trioxide" program as to get Xbox 360 code to run on 64-bit hardware.[186] Rather than going the route of the initial PlayStation 3 which included a core PlayStation 2 system-on-a-chip processor, the Xbox One hardware was designed to include support for Xbox 360 XMA and texture processing on hardware, knowing this would be difficult to replicate in software.[186] Following criticism of its plan for an "always on" console from the May 2013 announcement, Microsoft had to put significant effort to prepare the Xbox One software for a revised approach, and the backwards compatibility development work were put on hold.[186] Interim solutions were suggested: senior project management and planning director Albert Penello explained that Microsoft was initially considering a cloud gaming platform to enable backward compatibility, but he felt it would be "problematic" due to varying internet connection qualities.[187][188] Xbox Live director of programming Larry "Major Nelson" Hryb did state that users could theoretically use the HDMI-in port on the console to pass an Xbox 360 (or, alternatively, any other device that supports HDMI output, including competing consoles)[189] through Xbox One.[183][190] This process does generate a small amount of unnoticeable display lag.[189]
Following the release of the Xbox One and transition of Phil Spencer to the head of the Xbox division in 2014, he and software engineering vice president Kareem Choudhry restarted the backwards compatibility program in relative secret within the company. Choudhry brought on previous engineers that worked on Trioxide, including Kevin La Chapelle, Jonathan Morrison, and Barry Bond, to restart the program. The team chose to start with Castle Crashers, which included Xbox networking features, to test backwards compatibility.[186] Castle Crashers frequently crashed to a screen with alphanumeric codes, which La Chapelle was able to obtain from the game's developers, The Behemoth, which helped them to rapidly diagnose problems and fix the compatibility issues.[186] Solving most of the major problems through Castle Crashers, the background compatibility team decided to let the program be announced at E3 2015 with plans to have one hundred titles available by the end of 2015.[186] However, by E3, they still found problems with some games running at extremely low framerates. During the event, Morrison recognized that a fundamental difference between the Xbox 360 and Xbox One was its scheduling rate, and when they returned, Morrison's idea helped them to rapidly complete work to meet its promised goal by the end of that year.[186] Individual games still brought some difficulty, specifically Halo: Reach, but this prompted the team to develop automatic tools that could be used to identify where Xbox 360 titles would be difficult to run as-is on the Xbox One and how to work around those; this further set up the potential to improve Xbox 360 games on the future iterations of the Xbox One, such as the Xbox One X to improve graphics support.[186]
Xbox 360 backward compatibility uses a "Fission", a software emulator within the system software; 104 Xbox 360 titles were supported at the feature's public launch, with more added in the following months.[191] Xbox 360 games contained within Rare Replay are packaged as standalone applications using the Xbox 360 emulation.[192] Microsoft stated that publishers would only need to provide permission to the company to allow the repackaging, and it expected the number of supported games to increase significantly over time.[193][194][195] Microsoft, along with fourteen other third-party publishers, will offer supported games, and all Games with Gold titles on Xbox 360 since November 2015 are made compatible.[169][170]
ความเข้ากันได้กับเกมของเอกซ์บอกซ์
[แก้]Xbox division head Phil Spencer had also hinted the possibility of adding support for games from the original Xbox.[196] For the backwards compatibility team, after they completed the framework for Xbox 360 compatibility so that other engineering teams could take over, they turned to the question of compatibility with the original Xbox console. The program was started in November 2016, under the code name "Fusion", and was led by software engineer Spencer Perreault.[186] Perreault initially tried the same approaches as the team had done with "Fission", but due to the differences in memory management sizes and chipset bit-rates, these initial tests failed. Instead, Perreault worked to bring "Dolphin", a developer tool for the original Xbox, working to get its emulation correct. La Chapelle brought in a number of personal Xbox titles to test in Perreault's emulation, getting about a 10% "hit rate" on successes, though the variety of failures helped Perreault to identify common problems, and within a month, had improved the successful hit rate to about 90%.[186] As with Xbox 360 backwards compatibility, the Fusion emulation enables Xbox games to be scaled to 1080p resolutions, work with Xbox One networking features, and can allow mixed-console System Link connection between all three generations of Xbox.[186]
With Perreault's success, Microsoft announced the Xbox backwards compatibility on the Xbox One in June 2017.[197] Thirteen titles were initially released on October 24, 2017.[198] Microsoft announced an additional 19 titles to be added to the Xbox One service during April 2018.[199]
Microsoft does not anticipate that there will be as many Xbox titles brought to the program as with the Xbox 360, primarily due to legal issues related to intellectual property, contracts, and companies that have since gone defunct.[186]
การตอบรับ
[แก้]ก่อนวางจำหน่าย
[แก้]While the initial unveiling of the Xbox One in May 2013 created criticism that led to significant changes in the digital rights management scheme it would use, other features of the console were highlighted by journalists. The editorial staff of Game Informer offered both praise and criticism for the console. Matt Helgeson described the console as Microsoft's intent to "control the living room". He called Xbox One's instant switching features "impressive", and that the console was "a step in the right direction" with regards to TV entertainment, especially the prospect of avoiding the usage of non-intuitive user interfaces often found on cable set-top boxes. Jeff Cork said that Microsoft had "some great ideas" for the console, but that it failed to properly communicate them.[200]
Microsoft's E3 2013 press conference was criticized for focusing too much on games that, beyond increased graphical capabilities, provided experiences that were otherwise similar to previous-generation games—giving little incentive for buying the new console.[201][202] Rafi Mohammed, author of "The Art of Pricing", felt that Microsoft priced Xbox One "too high" and that the $100 premium over its competitor could "derail" the system during the 2013 holiday season.[203][204]
การตอบรับจากสื่อ
[แก้]Upon its release, the Xbox One received favorable reviews from critics and reviewers. In its launch review, Polygon gave the Xbox One an 8/10. Its design was described as "inoffensive" but its larger size noted, while the console's quieter and cooler operation was praised for indicating a potentially higher reliability than Xbox 360 was on-launch. The controller was praised for its battery life and "premium" design, but some members of the site's staff felt that its shoulder buttons were stiffer than that of previous designs. The design of Xbox One's interface received mixed reviews: noting that it carried over Windows 8's design language, the interface was disfavored for hiding functions under the controller's menu button and for being awkward to use with a controller or motion gestures, seemingly encouraging users to use voice navigation instead. While praised for having more "robust" voice navigation than Xbox 360, they felt that voice navigation still had a "learning curve in understanding what works and what doesn't." Although its user following, Smart Match, and improved voice chat features were noted, Xbox Live was panned for not offering the option on-launch to add a real name to user profiles. Despite a regression in local and network multimedia functionality in comparison to Xbox 360 and how OneGuide interacted with outside set-top boxes (drawing comparisons to the operations of TiVo DVRs), Polygon felt the Xbox One's overall multimedia experience "feels like a major step forward in set-top boxes and makes the Xbox One the obvious center of any living room that has one."[205]
Ben Gilbert of Engadget was similarly modest upon its launch, assigning the console a score of 81/100 and describing the Xbox One's design as a "1993 artist's rendering of 2013's technology". Acknowledging that its controller was a mere refinement of the "ubiquit[ous]" Xbox 360 design, he praised the controller for its improved D-pad and quieter triggers but criticized its stiff shoulder buttons. Kinect received positive reviews for its face recognition login and improved motion tracking, but that whilst "magical", "every false positive or unrecognized [voice] command had us reaching for the controller." The overall interface was also considered more intuitive and flexible than that of PlayStation 4, but its game library view was described as being a "jumbled, sadly unfilterable rows of every owned piece of software", that also knowingly listed games that require their disc to run alongside those which did not. The console was also panned for missing certain promised features on-launch, such as Upload Studio, game streaming, and certain apps/services.[206]
Later on, critics felt that the Xbox One's functionality had matured over the year following its launch; Jeff Bakalar of CNET, assigning it a score of 8/10, acknowledged improvements to Xbox One's software since its original release, but that its user interface was still unintuitive in comparison to Xbox 360 and PlayStation 4, explaining that "navigating the interface seems to be much more problematic than it rightfully should be, and there's simply not enough transparency in the logic within it. There are oddities peppered throughout, which is the root for countless headaches and frustrations." Xbox One's in-game performance was mixed, with some titles showing slower performance over PS4, but some multi-platform games performing better on Xbox One than PS4. CNET praised the wider lineup of multimedia services and apps on Xbox One over PS4, not requiring Xbox Live Gold for online save data storage, support for high-speed USB 3.0 as secondary storage, and having a "slightly better" lineup of upcoming exclusives, concluding that "While the PS4 had a clear advantage at launch, that edge is slowly evaporating as Microsoft has worked feverishly to undo most of the Xbox One's original missteps."[207]
Nick Pino of TechRadar, giving it four stars out of five, similarly felt that the Xbox One "[felt] more like a media titan today than it did 12 months ago," citing OneGuide, Upload Studio, and Microsoft's decision to drop the Xbox Live Gold requirement for multimedia streaming apps, and that "there's still a lot of potential locked away inside the hardware of the system that developers are just beginning to figure out. So while PlayStation might have the upper hand for now when it comes to certain third-party titles, it may not always remain that way. Just how Microsoft will get it to that point, though, is still a mystery." However, he disfavored the console's dependence upon a subscription for most of its functionality, Kinect's voice recognition, and that some games do not natively run at 1080p resolution, but are upscaled.[132] In an August 2016 review of the Xbox One S model, TechRadar further commended Microsoft's recent improvements to Xbox One, citing a strong lineup of first-party titles in 2015 and further improvements to the console's interface.[66]
Alaina Yee of IGN also praised how Xbox One had evolved since its launch, assigning it with Kinect a score of 8.1/10 and acknowledging that Microsoft had "made good on its promise of listening to consumers, rolling out a steady stream of updates that have both broadened and deepened what this third Xbox console offers." Regarding the console's slightly lower level of graphics capabilities in comparison to PlayStation 4, it was noted that "while videophiles might spot instances of upscaled graphics and less detailed environments immediately, most people generally won't notice a difference between Xbox One and PlayStation 4 versions of a game (when there is one) unless they see both running side by side", and examples of "gorgeous" Xbox One games were noted, such as Sunset Overdrive and Forza Motorsport 5. The number of "hidden" options in Xbox One's user interface was equated to "hunting for treasure in a messy room"; as such, Kinect voice commands, in combination with access to common functions within the Xbox SmartGlass app, were praised for helping to provide a more streamlined user experience.[208]
The Xbox One S revision was critically praised for its improvements over the original model, including its streamlined design, the addition of HDR and 4K video support, and visual improvements on some games (such as Fallout 4 and Rise of the Tomb Raider) when upscaled to 4K. However, TechRadar noted regressions such as the lack of a Kinect port (considered "one last kick in the pants for all the gamers forced into buying the more expensive console bundle two short years ago"), and concerns that the revised hardware and HDR support would lead to fragmentation of Xbox One's ecosystem, as not all users will necessarily experience a game the same way.[66]
Dieter Bohn of The Verge similarly felt that although it was one of the cheapest 4K Blu-ray players on the market, consumers were more interested in streaming 4K content (which could be accomplished with cheaper digital media players) than 4K Blu-ray discs, and noted the small number of HDR-enabled games on launch. Bohn concluded that the Xbox One S would appeal best to new owners or those who wish to leverage its HDR and 4K support, but recommended that existing owners consider Xbox One X instead.[209][210]
การขาดแคลนเกมเฉพาะเครื่อง
[แก้]The Xbox One platform has faced criticism for lacking in exclusive releases over competitors such as PlayStation 4 and Nintendo Switch. Although there have been releases in flagship Microsoft franchises such as Forza and Halo, they have underperformed in comparison to other entries, while several major Xbox One exclusives have faced notable delays, such as Crackdown 3, or outright cancellations, including Fable Legends and Scalebound.[211] By contrast, PS4 and Switch have seen a large number of critically successful first- and third-party exclusives, and Activision would sign with Sony Interactive Entertainment for timed exclusivity on certain add-on content in the Call of Duty and Destiny franchises—the former having replaced a previous deal with Microsoft.[212][213]
An analyst also noted that Microsoft's first-party studios were not as strong as those of Sony, explaining that "Sony has always been about first party and Microsoft wanted to emulate that, but they allowed studios like Rare and Lionhead to fade away."[214] In 2018, Microsoft acquired a large number of third-party studios, including Compulsion Games, InXile Entertainment, Ninja Theory, Obsidian Entertainment, Playground Games, and Undead Labs, and hired former Crystal Dynamics head Darrell Gallagher to lead a new Microsoft studio known as The Initiative.[215][216]
In 2016, Microsoft began to make future Xbox One-exclusive first-party releases simultaneously available on Microsoft Windows PC (with digital cross-buy support under the branding Xbox Play Anywhere, via Microsoft Store for Windows 10), thus making them Microsoft platform exclusives rather than Xbox One exclusives.[217][218] Microsoft has used the branding "console launch exclusive" to refer to titles (such as PlayerUnknown's Battlegrounds) that are timed or permanent exclusives to Xbox console hardware, but were already available on, or are planned to be available on PC.[219]
Microsoft initially imposed policies referred to as the "parity clause" on indie games, which required that the Xbox One version of a game be released at the same time as versions on other platforms. Phil Spencer stated that this rule was intended to ensure that Xbox One was a "first-class" platform by discouraging staggered releases. However, these policies resulted in some studios, such as Vlambeer (developer of Nuclear Throne) choosing to negotiate console exclusivity with Sony instead, who proved to be more receptive to indie development. By July 2015, Microsoft had changed its policies in response to the criticism, with Spencer admitting that this policy was onerous on smaller studios. Spencer also stated that Microsoft was willing to work with studios to help make the Xbox launches of former timed exclusives "special in some way", so that customers are not simply purchasing "last year's game".[220][221]
ยอดขาย
[แก้]ไมโครซอฟท์เปิดเผยแค่ยอดขายในระหว่างปีแรกหลังจากวางจำหน่าย ตัวเลขยอดขายแบบเป็นทางการเปิดเผยครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2014 พร้อมกับการที่บริษัทประกาศในเดือนตุลาคม 2015 ว่าจะไม่เปิดเผยยอดขายของเครื่องอีกต่อไป[222]
ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2013 ไมโครซอฟท์ยืนยันว่าได้จำหน่ายเอกซ์บอกซ์ วัน มากกว่า 1 ล้านเครื่อง ภายใน 24 ชั่วโมงแรกที่วางจำหน่าย[223] นอกจากนั้น จากข้อมูลใบเสร็จจำนวนกว่า 102,000 ใบที่ติดตามโดย InfoScout มีจำนวน 1,500 ของทั้งหมดซื้อวิดีโอเกมหรือเครื่องเล่นวิดีโอเกม ทำให้เอกซ์บอกซ์ วัน กลายเป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมที่ขายดีที่สุดในช่วงแบล็คฟรายเดย์ของสหรัฐอเมริกา[224]
ในวันที่ 11 ธันวาคม 2013, ไมโครซอฟท์ประกาศว่าได้จำหน่ายไปประมาณ 2 ล้านเครื่องภายใน 18 วันแรกนับจากวางจำหน่าย[225] วันที่ 12 ธันวาคม 2013 ไมโครซอฟท์ประกาศว่าเอกซ์บอกซ์ วันเ)้นเครื่องเล่นวิดีโอเกมที่ขายได้รวดเร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกา จากข้อมูลของ NPD Group แต่กระนั้น NPD report ชี้แจงว่า "ยอดขายของเพลย์สเตชัน 4 ซึ่งรวมกับสัปดาห์เพิ่มเติมในเดือนพฤศจิกายนเปรียบเทียบกับเอกซ์บอกซ์ วัน เมื่อมองไปที่ยอดขายเฉลี่ยประจำสัปดาห์ เอกซ์บอกซ์ วัน นำ เพลย์สเตชัน 4 แต่โปรดทราบว่ากำลังการผลิต (ของเพลย์สเตชัน 4) ถูกจำกัดภายในอาทิตย์หลังจากที่วางจำหน่าย[226][227]
วันที่ 6 มกราคม 2014 ไมโครซอฟท์ประกาศว่าได้จัดจำหน่ายเอกซ์บอกซ์ วัน ไปแล้ว 3 ล้านเครื่องทั่วโลกในปี 2013 [228] ในรายงานการเงินไตรมาสที่ 2 ซึ่รายงานเมื่อ 23 มกราคม 2014 ไมโครซอฟท์ประกาศว่าได้จัำหน่ายเอกซ์บอกซ์ วัน ทั่วโลกไปแล้วกว่า 3.9 ล้านเครื่อง [229] ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2014 ไมโครซอฟท์ประกาศว่าได้จำหน่ายเอกซ์บอกซ์ วัน ให้กับร้านค้าไปเกือบ 10 ล้านเครื่อง ทั้งนี้ ทางบริษัทยังเปิดเผยการลดราคา ซึ่งทำให้มียอดจำหน่ายเครื่องสูงถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า[6][230][231] และเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2014 ไมโครซอฟท์แถลงว่า จากข้อมูลของ NPD Group เอกซ์บอกซ์ วัน เป็เครื่องเล่นวิดีโอเกมที่ขายดีที่สุดในเดือนพฤศจิกายน 2014 [232]
ทั้งนี้ไมโครซอฟท์ประกาศเมื่อเดือนตุลาคม 2015 ว่าทางบริษัทจะไม่เปิดเผยยอดจำหน่ายเครื่องอีกต่อไป ข้อมูลตัวเลขการจัดจำหน่ายจำนวน 10 ล้านเครื่องจากเดือนพฤศจิกายน 2014 ยังคงเป็นตัวเลขอย่างเป็นทางการล่าสุด[222] นักข่าวบางคาดการณ์ว่ามีเหตุผลมาจากการที่ยอดขายต่ำกว่าคู่แข่งอย่างเพลย์สเตชัน 4 เป็นเบื้องหลังในการตัดสินใจครั้งนี้ ซึ่งการไม่เปิดเผยตัวเลข จะทำให้เครื่องของพวกเขาไม่ได้ดูแย่ลงเมื่อเทียบกับของโซนี่[233]
เอกซ์บอกซ์ วัน มียอดขายที่ย่ำแย่มากในญี่ปุ่น เหมือนกับเครื่องเล่นวิดีโอเกมรุ่นก่อนหน้าของไมโครซอฟท์ซึ่งต้องต่อสู้กับผู้ผลิตเครื่องเล่นวิดีโอเกมในประเทศอย่างโซนีและนินเทนโด โดยในสัปดาห์เปิดตัว เอกซ์บอกซ์ วันมียอดขายในญี่ปุ่นอยู่ที่ 23,562 เครื่อง เมื่อเทียบกันกับยอดขายของเอกซ์บอกซ์ 360 ที่สามารถขายได้กว่า 62,000 เครื่องในช่วงสัปดาห์แรกของการวางจำหน่ายในญี่ปุ่นเมื่อปี 2005[234][235] ในช่วงสุดสัปดาห์เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2015 เอกซ์บอกซ์ วัน ขายได้แค่ 100 เครื่องในญี่ปุ่น ในขนณะที่สัปดาห์เดียวกันนั้น วียู ขายได้ 16,413 เครื่อง[236]
ในเดือนมกราคม 2016 ประธานเจ้าหน้าที่การเงินของอิเล็กทรอนิก อาตส์ ได้รายงานระหว่างการประชุมการเงินทางโทรศัพท์ว่า เอกซ์บอกซ์ วัน ถูกจัดจำหน่ายไปแล้วราว 18 - 19 ล้านเครื่อง[237] ซึ่งเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของเพลย์สเตชัน 4 ณ ขณะนั้นที่ทางโซนีเปิดเผยว่าจำหน่ายไปแล้ว 36 ล้านเครื่อง แต่กระนั้นยังสูง วียู ซึ่งขายไปได้ 12.5 ล้านเครื่อง[238][239]
บริษัทวิจัย IHS Markit คาดการณ์ว่าเอกซ์บอกซ์ วัน สามารถจำหน่ายได้ 39.1 เครื่องเมื่อสิ้นเดือนมีนาคม 2018 [240]
การวางจำหน่ายในร้านค้าปลีก
[แก้]รุ่นแรก
[แก้]ในช่วงวางขาย เอกซ์บอกซ์ วัน มีแค่แบบเดียวที่จัดจำหน่ายในร้านค้า ซึ่งประกอบไปด้วยเครื่องเล่นวิดีโอเกม ความจุ 500 กิกะไบต์ ตัวควบคุม 1 ชิ้น และคินเนค ในสหรัฐอเมริกา มีราคาที่ 499 ดอลลาร์สหรัฐ[241] ถัดมาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2014 ไมโครซอฟท์ได้วางจำหน่ายเอกซ์บอซ์ วันแบบใหม่ โดยตัดคินเนคออก โดยราคาอยู่ที่ 399 ดอลลาร์สหรัฐ โดยคินเนคถูกแยกวางจำหน่ายในราคา 150 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งวางจำหน่ายเมื่อเดือนตุลาคม 2014[127][242] ต่อมาเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2015 ไมโครซอฟท์ลดราคาเครื่องแบบปกติเหลือ 349 ดอลลาร์สหรัฐและวางจำหน่ายเอกซ์บอกซ์ วัน รุ่นใหม่ ซึ่งมีความจุ 1 เทราไบต์ ที่ราคา 399 ดอลลาร์สหรัฐ และในบางประเทศ วางจำหน่ายพร้อมกับ Halo: The Master Chief Collection.[105][106] เดือนพฤษภาคม 2016 ไมโครซอฟท์ลดราคาชุดเครื่องความจุ 500 กิกะไบต์ เหลือ 299 ดอลลาร์สหรัฐ และชุดเครื่องความจุ 1 เทราไบต์ที่ 319 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นระยะเวลาจำกัด แต่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่ข้อเสนอนี้จะจบ [243][244] ก่อนที่วันที่ 14 มิถุนายน 2016 ราคาของเครื่องความจุ 500 กิกะไบต์จะลดลงอีกครั้ง เหลือ 279 ดอลลาร์สหรัฐจนถึงเดือนตุลาคม 2016 ซึ่งเป็นช่วงวางจำหน่ายของเครื่องเอกซ์บอกซ์ วัน เอส[245]
วันที่ 31 สิงหาคม 2015 ไมโครซอฟท์ประกาศวางจำหน่ายเครื่องเอกซ์บอกซ์ วัน อีลิท ซึ่งเป็น SKU ใหม่ ที่ประกอบไปด้วยเครื่องที่ใช้หน่วยเก็บข้อมูลแบบ SSHD ขนาด 1 เทราไบต์ ตัวควมคุมรุ่น อีลิท ไวร์เลส โดยเริ่มจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน 2015 ราคา 499.99 ดอลลาร์สหรัฐในประเทศสหรัฐอเมริการ โดยตัวควบคุมแบบอีลิท ไวร์เลส เป็นข้อเสนอแบบจำกัด โดยวางขายผ่านร้าน เกมสต๊อป และ ไมโครซอฟท์สโตร์.[246]
รุ่นพิเศษ
[แก้]Those who pre-ordered Xbox One for its release received a special "Day One Edition", which featured a "DAY ONE 2013" inscriptions on the controller, and a unique achievement.[241] A white "Launch Team" edition was given exclusively to Microsoft staff members, featuring the inscription "I made this, LAUNCH TEAM 2013" on the console and controller, and was bundled with Dead Rising 3, Forza Motorsport 5, Ryse: Son of Rome, and Zoo Tycoon.[247] A similar limited edition was gifted to Respawn Entertainment employees following the release of Titanfall, with a black, white, and orange color scheme and a similarly styled controller inspired by the game (the controller itself would be released publicly as a tie-in).[248]
Xbox One consoles bundled with digital copies of specific games have also been released, including Titanfall and Forza Motorsport 5.[249]
- In October 2014, a non-Kinect bundle featuring a white Xbox One and a coupon for a digital copy of Sunset Overdrive was released, marking the first public availability of white Xbox One models.[250] A similar white hardware bundle was released for Quantum Break.[243]
- In November 2014, a limited edition 1 TB bundle was released for Call of Duty: Advanced Warfare, with a "worn", militaristic grey and black color scheme with gold accents and insignia detailing (including the emblem of the Sentinel Task Force), customized hardware sound effects for the power and eject buttons, and a matching controller. It is bundled with a coupon for a digital copy of Advanced Warfare's "Day Zero" edition, which offered pre-release access and special in-game items.[251][252]
- 512 GB Assassin's Creed bundles were released in November 2014, which shipped with coupons for digital copies of both Assassin's Creed Unity and Assassin's Creed IV: Black Flag. This bundle was available with and without Kinect, with the Kinect version also including a coupon for a digital copy of Dance Central Spotlight.[253]
- Another non-Kinect bundle was released in March 2015 that includes a coupon for a digital copy of Halo: The Master Chief Collection.[254]
- A 1 TB Forza Motorsport 6 bundle was released on September 15, 2015, which features blue-colored hardware with racing stripes and a push-button start-inspired design around the power button, and customized hardware sound effects.[255]
- A limited-edition 1TB Halo 5: Guardians bundle was released on October 20, 2015 (one week before the launch of the game itself),[256] and features a gunmetal gray finish with metallic blue accents, military insignia detailing, and customized hardware sound effects.[257]
เอกซ์บอกซ์ วัน เอส
[แก้]Xbox One S is available in 500 GB, 1 TB, and "special edition" 2 TB models, which originally retailed at US$299, $349, and $399 respectively. The 2 TB model was released on August 2, 2016,[92][258] and 1 TB and 500 GB models were released on August 23, 2016.[259] and a Gears of War 4 special edition was also released.[260] On June 11, 2017, Microsoft lowered the prices of the 500 GB Battlefield 1 and 1 TB Forza Horizon 3 Xbox One S console bundles by US$50.[261] At Gamescom 2017, Microsoft unveiled a 1 TB Minecraft limited edition, with a grass block-themed hardware and a Creeper-themed controller.[262] During an Inside Xbox livestream in September 2018, Microsoft unveiled a 1 TB Fortnite Battle Royale bundle, with online codes to acquire unique in-game Eon-themed items and currency.[263] On October 9, 2018, Microsoft announced that they would be releasing a 1 TB Minecraft Creators bundle, with a download code for Minecraft, in-game currency, DLC packs, and a free trial for Xbox Game Pass and Xbox Live Gold.[264][265]
เอกซ์บอกซ์ ออล แอสเซส
[แก้]ในเดือนมกราคม ปี 2018 ไมโครซอฟท์ประกาศข้อเสนอทางการเงินแบบจำกัดเวลา ซึ่งรู้จักในชื่อว่า เอกซ์บอกซ์ ออล แอสเซส ผ่าน ไมโครซอฟท์สโตร์ ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยข้อเสนอทางการเงินดังกล่าวจะอนุญาตให้ผู้ซื้อสามารถซื้อเครื่องเอกซ์บอซ์ วัน เอส หรือ เอกซ์ โดยรวมกับการรับสมัครสมาชิกเอกซ์บอกซ์ ไลฟ์ และ เอกซ์บอกซ์ เกม พาส ผ่านสัญญาทางการเงิน 2 ปี โดยหลังจากสิ้นสุดสัญญาผู้ที่ซื้อเครื่องจะได้สิทธิความเป็นเจ้าของ และหากพวกเขายกเลิกสัญญาภายในระยะเวลานั้น ต้องจ่ายเงินค่าเครื่องเป็นจำนวนที่เหลือ โดยราคาของชุดดังกล่าวถูกกว่าการซื้อสินค้าทั้งหมดแยกกัน[266][267]
การปรับปรุงฮาร์ดแวร์
[แก้]เอกซ์บอกซ์ วัน เอกซ์
[แก้]
Xbox One X is a high-end hardware revision of Xbox One. First teased at E3 2016 under the codename "Project Scorpio", Xbox One X was released on November 7, 2017, with a 1 TB model priced at US$499,[268] and a limited, pre-order exclusive "Project Scorpio Edition", with a dark gradient finish, vertical stand brace and green "Project Scorpio" inscriptions on the console and bundled controller.[269][270]
Xbox One X features upgraded hardware that is designed primarily to render games at 4K resolution, and provide performance improvements for existing games;[268] they can be displayed at full resolution on 4K displays, or supersampled for lower resolutions displays.[268] It uses a system-on-chip (SoC) known as Scorpio Engine, which incorporates a 2.3 GHz octa-core CPU, and a Radeon GPU with 40 Compute Units clocked at 1172 MHz, generating 6 teraflops of graphical computing performance. It also includes 12 GB of GDDR5 RAM, 9 GB of which is allocated to games.[271] Scorpio Engine's CPU utilizes a custom platform designed to maintain compatibility with the Jaguar CPU of the original Xbox One, but with a 31% increase in performance; the custom platform is unrelated to AMD's current Ryzen architecture. The console uses a vapor chamber method of cooling for the SoC, and motherboards are tailored to the exact voltage needs of each individual Scorpio SoC to optimize their output and energy usage.[272] The console also supports AMD's FreeSync technology, 1440p resolution, and/or 120 Hz refresh rate on compatible displays.[273][274]
Xbox One X is compatible with all existing Xbox One software and accessories.[275] To assist in optimizing the new hardware to run existing games at 4K resolution, Microsoft developers used internal debugging software to collect GPU traces from major titles that did not run at full 1080p resolution on the original Xbox One.[272] Halo 5: Guardians, which uses a scaling system that dynamically lowers the game's resolution when needed to maintain a consistent frame rate,[276] was able to run at its native resolution with no scaling on Xbox One X hardware.[275] Phil Spencer also touted that Xbox One X's hardware could also be used to support virtual reality, due to its power, price point, and convenience.[275] At the 2017 Game Developers Conference, Microsoft announced plans to support Windows Mixed Reality VR headsets on Xbox One in 2018, but the company later stated that it was initially focusing on PC platforms first, and that it wanted to focus on wireless VR solutions for consoles.[277][278]
Games marketed by Microsoft as Xbox One X Enhanced have specific optimizations for graphical fidelity on the console's hardware. Separate iconography is being used to denote games that natively run at 4K resolution, or support HDR.[182] Existing games can be updated to provide these enhancements.[67][268] Though Xbox Games marketing head Aaron Greenberg stated that Xbox One X will have no exclusive titles,[279] general manager of game publishing Shannon Loftis remarked in a follow-up interview that she was not sure on this point, and exclusivity would be "up to the game development community what do they want to do."[280]
The Xbox One X has been said to be a competitor to the PlayStation 4 Pro, a hardware update of the PlayStation 4 released in late 2016 that similarly focuses on 4K gaming and improved virtual reality performance, although Phil Spencer stated that the PlayStation 4 Pro's competition is instead the Xbox One S.[281] In October 2016, Penello stated that the performance advantage of the Xbox One X over the PS4 Pro would be "obvious", noting that the PS4 Pro's GPU only had 4.2 teraflops of graphical computing performance in comparison to Microsoft's stated 6 teraflops.[282][283] Some journalists thought that Microsoft's messaging and positioning of Scorpio alongside the release of the Xbox One S were at odds with themselves and was "confusing".[284][285]
ตารางเปรียบเทียบฮาร์ดแวร์
[แก้]เอกซ์บอกซ์ วัน | เอกซ์บอกซ์ วัน เอส | เอกซ์บอกซ์ วัน เอกซ์ | |||
---|---|---|---|---|---|
Kinect[a] | |||||
การวางจำหน่าย | 500 GB | 22 พฤศจิกายน 2013 | 23 สิงหาคม 2016 | — | |
9 มิถุนายน 2014 | |||||
1 TB | 6 มิถุนายน 2015 | 23 สิงหาคม 2016 | 7 พฤศจิกายน 2017 | ||
31 สิงหาคม 2015 (Elite) | |||||
2 TB | — | 2 สิงหาคม 2016[b] | — | ||
ราคา[c] | 500 GB | $499[241] | $299[92][d] | — | |
$399[127][e] | |||||
1 TB | $399[f] | $349[92][d] | $499[268] | ||
$499 (Elite)[246] | |||||
2 TB | — | $399[92] | — | ||
เลขรุ่น | 1540 | 1681 | 1787 | ||
เทคโนโลยีหน่วยประมวลผล | 28 นาโนเมตร ของ TSMC | 16 นาโนเมตร ของ TSMC | |||
จำนวนทรานซิสเตอร์ | 5 พันล้าน | 7 พันล้าน | |||
ขนาด Die | 363 mm2 | 240 mm2 | 360 mm2 | ||
สถาปัตยกรรมของ CPU | AMD Jaguar | AMD-customized Jaguar Evolved | |||
ความเร็วของ CPU | 1.75 กิกะเฮิรตซ์ | 2.3 กิกะเฮิรตซ์ | |||
จำนวน CPU | 8 | ||||
สถาปัตยกรรมของ GPU | AMD Sea Islands (GCN 2) Bonaire type (เป็นตัวปรับแต่งความเร็วที่ 853 MHz/914 MHz ของ R7 260/360) |
AMD Polaris (GCN 4) Ellesmere XTL type (เป็นตัวปรับแต่งความเร็วที่ 1172 MHz ของ RX 590)[287] | |||
จำนวนของ Unified shaders | 768 (12 Radeon compute units) (ติดตั้งจริงจำนวน 896 ,ปิด 2 Compute units) |
2560 (40 Radeon compute units) (ติดตั้งจริง 2816 , ปิด 4 Compute units) | |||
Raster operation units (ROP) | 16 | 32[288] | |||
Texture mapping units (TMU) | 48 | 160 | |||
ความถี่ของ GPU | 853 เมกะเฮิรตซ์ | 914 เมกะเฮิรตซ์ | 1172 เมกะเฮิรตซ์ | ||
ความสามารถในการประมวลผล
FP32 |
1.31 เทราฟล็อปส์ | 1.40 เทราฟล็อปส์ | 6 เทราฟล็อปส์ | ||
หน่วยความจำ | 8 กิกะไบต์ แบบ DDR3 32 เมกะไบต์ แบบ ESRAM |
12 กิกะไบต์ แบบ GDDR5 | |||
อัตราการส่งถ่ายข้อมูล
ของหน่วยความจำ |
DDR3 ที่ 68.3 GB/s | 326 GB/s | |||
ESRAM ที่ 204 GB/s | ESRAM ที่ 218 GB/s | ||||
ความถี่ของหน่วยความจำ | 1066 MHz (effective 2133 MT/s) | 1700 MHz (effective 6.8 GT/s) | |||
ความกว้างของหน่วยความจำ | 256-บิท | 384-บิท | |||
ประเภทของแหล่งจัดเก็บข้อมูล | ฮาร์ดไดร์ฟขนาด 2.5 นิ้ว
(ความเร็ว 5400 รอบต่อนาที) |
ฮาร์ดไดร์ฟขนาด 2.5 นิ้ว
(ความเร็ว 5400 รอบต่อนาที) | |||
SSHD ขนาด 2.5 นิ้ว (รุ่น Elite) | |||||
ความจุ | 500 GB, 1 TB | 500 GB, 1 TB, 2 TB | 1 TB | ||
ขนาด (สูง×กว้าง×ลึก) |
79 มม. × 274 มม. × 333 มม.[289] | 63.5 มม. × 229 มม. × 298 มม.[290] | 60 มม. × 240 มม.× 300 มม. | ||
ช่องส่งข้อมูลออก | HDMI 1.4 | HDMI 2.0 | HDMI 2.0b[291] |
- Table notes
- ↑ Only the model launched in 2013 came bundled with Kinect. Subsequent models did not include the Kinect, and Xbox One S and One X models dropped the Kinect-specific port.
- ↑ Special launch edition with limited availability.[286]
- ↑ Price at launch. Subsequent price reductions are explained in the attached notes.
- ↑ 4.0 4.1 Price cut by $50 in June 2017 ahead of Xbox One X launch. 500 GB models cut to $249 and 1 TB models cut to $299.[261]
- ↑ Retail price dropped to $349 in June 2015,[105] $299 in May 2016 before Xbox One S launch,[243] and finally $279 in June 2016 after Xbox One S launch.[245]
- ↑ Retail price dropped to $319 in May 2016 ahead of Xbox One S launch.[243]
References
[แก้]- ↑ Taipei, Aaron Lee; Taipei, Ocean Chen; Tsai, Joseph (September 4, 2013). "Flextronics lands 90% of Xbox One orders, leaving Foxconn the rest". DigiTimes. สืบค้นเมื่อ December 8, 2016.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 Warren, Tom (June 10, 2013). "Xbox One launching in November for $499 in 21 countries, pre-orders start now". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 10, 2013.
- ↑ Pitcher, Jenna (May 26, 2014). "Microsoft reveals prices of two Xbox One variations for Japan". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ December 6, 2016., Polygon
- ↑ Neltz, András (July 30, 2014). "The Xbox One Will Be China's First Major Home Console Since The PS2". Kotaku. Univision Communications. สืบค้นเมื่อ December 6, 2016.
- ↑ "Microsoft's Xbox One Sales Hit 3 Million". Xbox Wire. Microsoft. January 6, 2014. สืบค้นเมื่อ December 8, 2016.
- ↑ 6.0 6.1 MacGregor, Kyle (November 13, 2014). "Xbox One's Approaching 10 Million Units Shipped". Destructoid. สืบค้นเมื่อ July 20, 2015.
- ↑ 7.0 7.1 ข้อมูลเมื่อ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2013[update], 3 million sold.[5]
ข้อมูลเมื่อ 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 2014[update], approximately 10 million shipped.[6]
These amounts are outdated, however. Microsoft has not released more recent figures. - ↑ 8.0 8.1 Stein, Scott (June 19, 2013). "Microsoft Xbox One — Consoles — CNET Reviews". CNET. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ June 24, 2013.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 Shimpi, Anand Lal (May 23, 2013). "AMD's Jaguar Architecture: The CPU Powering Xbox One, PlayStation 4, Kabini & Temash". AnandTech. Purch Group. สืบค้นเมื่อ June 24, 2013.
- ↑ Sherr, Ian (June 12, 2017). "Microsoft Xbox One X specs — Consoles — CNET Reviews". CNET. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ June 30, 2017.
- ↑ "Xbox One S vs Xbox One: What about Project Scorpio?". Xbox Support. Microsoft. สืบค้นเมื่อ February 19, 2017.
- ↑ Walker, Tim (May 22, 2013). "Xbox ONE: 'The ultimate all-in-one home entertainment system': Microsoft finally unveils its latest console". The Independent. Independent Print. สืบค้นเมื่อ May 23, 2013.
- ↑ Remo, Chris (November 21, 2005). "Waiting for the Xbox 360". Shacknews. Gamerhub. สืบค้นเมื่อ June 23, 2015.
- ↑ "Unboxing the Xbox 360 Super-Slim". IGN. Ziff Davis. June 18, 2013. สืบค้นเมื่อ June 22, 2015.
- ↑ Martin, Matt (June 10, 2010). "Kinect to extend Xbox 360 lifecycle by five years". Computer & Video Games. Future plc. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 8, 2011. สืบค้นเมื่อ June 26, 2013.
- ↑ Goldfarb, Andrew (October 5, 2011). "Xbox 720 Appears in a Real Steel Trailer". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ June 21, 2015.
- ↑ Crossly, Rob (พฤษภาคม 5, 2011). "Develop source: New Xbox console on desks at EA". Develop. NewBay Media. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ กรกฎาคม 15, 2013. สืบค้นเมื่อ มิถุนายน 26, 2013.
- ↑ Goldfarb, Andrew (February 28, 2012). "Report: Next Xbox Codenamed 'Durango'". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ May 21, 2013.
- ↑ Goldfarb, Andrew (July 29, 2012). "Xbox 720 Development Kit Photos Surface". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ June 26, 2013.
- ↑ Dyer, Mitch (June 16, 2012). "Xbox 720 Price, Features Revealed in Allegedly Leaked Document". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ June 26, 2013.
- ↑ Tolito, Stephan (January 25, 2012). "Sources: The Next Xbox Will Play Blu-Ray, May Not Play Used Games (And Will Introduce Kinect 2)". Kotaku. Univision Communications. สืบค้นเมื่อ June 25, 2013.
- ↑ Holpuch, Amanda (May 21, 2013). "Microsoft unveils Xbox One console — as it happened | Technology". The Guardian. Guardian News and Media. สืบค้นเมื่อ June 24, 2013.
- ↑ Wagner, Kyle (May 12, 2005). "Xbox One: Everything You Need to Know About Microsoft's New Console". Gizmodo. Univision Communications. สืบค้นเมื่อ June 24, 2013.
- ↑ 24.0 24.1 24.2 Goldfarb, Andrew (May 21, 2013). "Xbox One Announced". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ May 21, 2013.
- ↑ 25.0 25.1 Plafke, James (June 10, 2013). "E3 2013: How the Xbox One will use SmartGlass". Geek.com. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ June 11, 2013.
- ↑ 26.0 26.1 Xbox Leadership Team (August 14, 2013). "Xbox One Launch Markets Confirmed". Xbox Wire. Microsoft. สืบค้นเมื่อ August 24, 2013.
- ↑ 27.0 27.1 Pereira, Chris (August 14, 2015). "Microsoft Downscale Xbox One 2013 Launch to 13 Markets". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ June 30, 2015.
- ↑ Conditt, Jessica (August 14, 2013). "Report: Xbox One regional delays due to Kinect localization issues". Joystiq. AOL. สืบค้นเมื่อ August 29, 2013.
- ↑ Skillings, Jon (March 18, 2014). "Xbox One 26 new markets". CNET. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ March 23, 2014.
- ↑ "Xbox One Coming to 26 New Markets in September". Xbox Wire. Microsoft. March 18, 2014. สืบค้นเมื่อ March 18, 2014.
- ↑ "Xbox One to Launch Next Generation of Gaming in China September 23". Xbox Wire. Microsoft. July 30, 2014. สืบค้นเมื่อ July 30, 2014.
- ↑ 32.0 32.1 32.2 "Xbox One: A Modern, Connected Device". Xbox Wire. 343 Industries. June 6, 2013. สืบค้นเมื่อ June 6, 2013.
- ↑ Grubb, Jeffrey (May 21, 2013). "Deal with it: Xbox One requires an Internet connection". VentureBeat. สืบค้นเมื่อ June 7, 2013.
- ↑ "How Games Licensing Works on Xbox One". Xbox Wire. 343 Industries. June 6, 2013. สืบค้นเมื่อ June 6, 2013.
- ↑ 35.0 35.1 "Your Feedback Matters - Update on Xbox One". Xbox. Microsoft. June 19, 2013. สืบค้นเมื่อ December 8, 2016.
- ↑ Tibken, Shara (May 21, 2013). "Used games are here to stay with Xbox One but details hazy". CNET. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ May 22, 2013.
- ↑ Sliwinski, Alexander (May 22, 2013). "Xbox One will definitely be in used games market, details still blurry". Joystiq. AOL. สืบค้นเมื่อ May 22, 2013.
- ↑ Bramwell, Tom (June 7, 2013). "Microsoft kills game ownership and expects us to smile". Eurogamer. Gamer Network. สืบค้นเมื่อ June 7, 2013.
- ↑ King, Ryan (June 7, 2013). "Xbox One: It's Made For Publishers, Not For You". NowGamer. สืบค้นเมื่อ June 7, 2013.
- ↑ Parfitt, Ben (มิถุนายน 7, 2013). "Indie retailers desperate for Xbox One pre-owned answers". MCV. NewBay Media. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มิถุนายน 11, 2013. สืบค้นเมื่อ มิถุนายน 7, 2013.
- ↑ Gaston, Martin (June 7, 2013). "Preowned games on Xbox One decided by publisher". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ December 13, 2016.
- ↑ McShea, Tom (June 10, 2013). "Sony's Triumphant Night". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ December 13, 2016.
- ↑ Orland, Kyle (June 12, 2013). "Microsoft defends the Xbox One's licensing, used game policies". Ars Technica. Condé Nast. สืบค้นเมื่อ June 16, 2013.
- ↑ Chang, Jon M (June 20, 2013). "Xbox 180: Microsoft Backpedals on 2 Controversial Xbox One Features". ABC News. ABC. สืบค้นเมื่อ April 3, 2016.
- ↑ Rigney, Ryan (June 19, 2016). "Xbox 180: Microsoft Fully Reverses Xbox One's DRM Policies". Wired. Condé Nast. สืบค้นเมื่อ April 3, 2016.
- ↑ 46.0 46.1 "Set up and install the Blu-ray and DVD player app on Xbox One". Xbox.com. Microsoft. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 8, 2016. สืบค้นเมื่อ January 8, 2015.
- ↑ Totilo, Stephen (June 19, 2013). "Surprise Xbox One DRM Reversal Requires Day One Patch, Cuts Features". Kotaku. Univision Communications. สืบค้นเมื่อ June 19, 2013.
- ↑ Phillips, Tom (July 15, 2013). "Xbox One's Family Sharing feature may return, Microsoft says". Eurogamer. Gamer Network. สืบค้นเมื่อ July 15, 2013.
- ↑ Totilo, Stephen (June 19, 2013). "Xbox One DRM Reversal Cuts Features, Requires One-Time Connection". Kotaku. Univision Communications. สืบค้นเมื่อ June 19, 2013.
- ↑ Chalk, Andy (June 19, 2013). "Microsoft Drops Xbox One DRM Restrictions — UPDATED". The Escapist. Defy Media. สืบค้นเมื่อ June 19, 2013.
- ↑ Garrett, Patrick (June 21, 2013). "Xbox One's DRM u-turn: thank Sony, not the core". VG247. สืบค้นเมื่อ June 26, 2013.
- ↑ Brightman, James (July 1, 2013). "Xbox One: "The buck stopped with Mattrick"". GamesIndustry.biz. Gamer Network. สืบค้นเมื่อ July 1, 2013.
- ↑ Crecente, Brian (June 5, 2013). "Privacy concerns threaten to overshadow Microsoft's new console". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 10, 2013.
- ↑ Sottek, T.C. (May 27, 2013). "Microsoft may award achievements for watching TV and ads by monitoring you with Kinect". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 10, 2013.
- ↑ McWhertor, Michael (June 6, 2013). "Kinect on Xbox One will not record or upload your conversations, Microsoft says". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 10, 2013.
- ↑ Greenwald, Will (May 22, 2013). "Hello Xbox One, Goodbye Freedom". PC Magazine. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ May 23, 2013.
- ↑ Schreier, Jason (August 12, 2013). "Kinect No Longer Mandatory For Xbox One (But Will Still Come With It) [UPDATE]". Kotaku. Univision Communications. สืบค้นเมื่อ August 23, 2013.
- ↑ Anthony, Sebastian (August 13, 2013). "Xbox One no longer requires Kinect, but it'll still come in the box, and you'll still pay $500". ExtremeTech. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ September 5, 2013.
- ↑ Langley, Hugh (September 12, 2013). "Microsoft throws next-gen gaming an Xbone". TechRadar. Future plc. สืบค้นเมื่อ April 19, 2014.
- ↑ Reed, Brad. "Microsoft's Xbox 180: Upcoming Xbox One to drop DRM restrictions, internet requirement after public backlash". Yahoo! News. BGR News. สืบค้นเมื่อ June 22, 2013.
- ↑ O'Mara, Matthew (May 24, 2013). "Why 'XBone' has stuck as a nickname for Microsoft's new console". Financial Post. Postmedia Network. สืบค้นเมื่อ June 13, 2013.
- ↑ Lewis, Helen (June 11, 2013). "With Xbox One, what's yours is theirs". The Guardian. Guardian News and Media. สืบค้นเมื่อ June 13, 2013.
- ↑ U.S. Department of Justice. Fourth member of hacking ring pleads guilty to hacking and intellectual property theft, fbi.gov, April 1, 2015.
- ↑ FBI arrests trio for Microsoft Xbox hacking, The Smoking Gun, April 10, 2014.
- ↑ Totilo, Stephen (September 30, 2014). "Hackers Charged With Stealing From Valve, Microsoft And More". Kotaku. Univision Communications. สืบค้นเมื่อ December 3, 2016.
- ↑ 66.0 66.1 66.2 66.3 66.4 Pino, Nick. "Xbox One S review". TechRadar. Future plc. สืบค้นเมื่อ August 4, 2016.
- ↑ 67.0 67.1 Warren, Tom (June 12, 2017). "Look for these Xbox One X logos to know you're getting enhanced 4K and HDR games". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 12, 2017.
- ↑ Leone, Matt (May 21, 2013). "Microsoft explains the design of the Xbox One". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ May 28, 2013.
- ↑ Goldfarb, Andrew (May 24, 2013). "Xbox One "Intended to Sit Horizontally"". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ June 27, 2015.
- ↑ "Xbox One S vs Xbox One: What's the difference?". Pocket-lint (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2016-11-10. สืบค้นเมื่อ 2018-08-27.
- ↑ "Xbox One S review: Great console, bad timing". The Verge (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2018-08-27.
- ↑ Cunningham, Andrew (September 3, 2013). "Xbox One gets a CPU speed boost to go with its faster GPU". Ars Technica. Condé Nast. สืบค้นเมื่อ September 4, 2013.
- ↑ 73.0 73.1 Shimpi, Anand Lal (May 21, 2013). "The Xbox One: Hardware Analysis & Comparison to PlayStation 4". AnandTech. สืบค้นเมื่อ May 22, 2013.
- ↑ Leadbetter, Richard (October 5, 2013). "Digital Foundry: the complete Xbox One architects interview". Eurogamer. Gamer Network. สืบค้นเมื่อ October 5, 2013.
- ↑ Leadbetter, Richard (June 28, 2013). "Xbox One memory performance improved for production console". Eurogamer. Gamer Network. สืบค้นเมื่อ July 4, 2013.
- ↑ Te, Zorine (May 22, 2013). "Xbox One contains non-replaceable hard drive". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ December 13, 2016.
- ↑ 77.0 77.1 77.2 Sakr, Sharif (May 21, 2013). "Xbox One hardware and specs: 8-core CPU, 8GB RAM, 500GB hard drive and more". Engadget. AOL. สืบค้นเมื่อ May 21, 2013.
- ↑ Lawler, Richard (May 21, 2013). "Xbox OneGuide brings HDMI in/out, overlays for live TV". Engadget. AOL. สืบค้นเมื่อ May 21, 2013.
- ↑ Plafke, James (December 10, 2013). "Xbox One's 500GB Hard Drive Makes Only 362GB Available to Users". ExtremeTech. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ July 18, 2015.
- ↑ Makuch, Eddie (June 4, 2014). "Here's How External Storage Works on Xbox One". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ May 18, 2015.
- ↑ Kato, Matthew (May 21, 2013). "The Tech Spec Test: Xbox One Vs. PlayStation 4". Game Informer. GameStop. สืบค้นเมื่อ May 22, 2013.
- ↑ Totilo, Stephen (May 23, 2013). "Your Xbox One Games Can Be Suspended (Or Terminated)". Kotaku. Univision Communications. สืบค้นเมื่อ June 21, 2013.
- ↑ Wagner, Kyle (May 22, 2013). "Xbox One: All the Nerdy Details You Don't Know Yet". Gizmodo. Univision Communications. สืบค้นเมื่อ June 20, 2013.
- ↑ Hanson, Ben (May 21, 2013). "Interview With Xbox One's Chief Product Officer Marc Whitten". Game Informer. GameStop. สืบค้นเมื่อ May 22, 2013.
- ↑ Anthony, Sebastian (July 1, 2013). "DirectX 11.2 Will Be a Windows 8.1 and Xbox One Exclusive: Microsoft Dangle the Upgrade Carrot". ExtremeTech. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ June 30, 2015.
- ↑ Smith, Matt (November 6, 2013). "How to upgrade your PC to put it on par with the PS4 and Xbox One". Digital Trends. สืบค้นเมื่อ December 8, 2016.
- ↑ Anthony, Sebastian (May 23, 2013). "Xbox One: Hardware and Software Specs Detailed and Analyzed". ExtremeTech. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ June 19, 2015.
- ↑ Chapple, Craig (พฤษภาคม 21, 2013). "Xbox One 'not targeting' highest-end graphics". Develop. NewBay Media. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ มิถุนายน 9, 2013. สืบค้นเมื่อ มิถุนายน 5, 2013.
- ↑ Farokhmaneshon, Megan (May 21, 2013). "Xbox One uses HDMI output, doesn't support component connections". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ May 21, 2013.
- ↑ "Xbox One now supports Dolby Atmos and DTS:X audio". Engadget (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ November 27, 2017.
- ↑ "Xbox One is getting Dolby Vision support". The Verge. สืบค้นเมื่อ 2018-08-27.
- ↑ 92.0 92.1 92.2 92.3 92.4 92.5 92.6 92.7 Webster, Andrew (June 13, 2016). "Microsoft announces the Xbox One S, its smallest Xbox yet". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 13, 2016.
- ↑ Yin-Poole, Wesley (June 14, 2016). "Forza Horizon 3 uses the Xbox One S high dynamic range tech". Eurogamer. Gamer Network. สืบค้นเมื่อ June 15, 2016.
- ↑ Hoss, Brian (July 23, 2016). "The Xbox One S Will Support HDR10, But Dolby Atmos, Direct Bitstreaming, & DTS:X Support Remain Elusive". HighDefDigest. Internet Brands. สืบค้นเมื่อ July 29, 2016.
- ↑ Gies, Arthur (June 13, 2016). "Games can perform better on Xbox One S". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 15, 2016.
- ↑ Phillips, Tom (June 15, 2016). "Xbox One S won't give games a performance boost, Microsoft insists •". Eurogamer. Gamer Network. สืบค้นเมื่อ July 20, 2016.
- ↑ Machkovech, Sam (August 2, 2016). "Microsoft hid performance boosts for old games in Xbox One S, told no one". Ars Technica. Condé Nast. สืบค้นเมื่อ August 2, 2016.
- ↑ Reisinger, Don (August 14, 2013). "Xbox One knows when it's overheating, adjusts accordingly". CNET. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ August 19, 2013.
- ↑ Hsu, Dan "Shoe" (November 18, 2013). "The Xbox One controller: Projectors, smells (!), and other stuff that didn't make it in (part 1, exclusive)". VentureBeat. สืบค้นเมื่อ April 9, 2015.
- ↑ 100.0 100.1 100.2 Phillips, Tom (June 6, 2013). "Xbox One controller can be plugged in via USB to save power". Eurogamer. Gamer Network. สืบค้นเมื่อ January 10, 2015.
- ↑ Hsu, Dan "Shoe" (November 19, 2013). "The Xbox One controller: What's new with the analog sticks and D-pad (part 2, exclusive)". VentureBeat. สืบค้นเมื่อ June 11, 2015.
- ↑ Hsu, Dan "Shoe" (November 20, 2013). "The Xbox One controller: What's new with the buttons and triggers (part 3, exclusive)". VentureBeat. สืบค้นเมื่อ June 11, 2015.
- ↑ Goldfarb, Andrew (May 24, 2013). "Microsoft Explains Xbox One Controller's New Buttons". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ May 26, 2013.
- ↑ Lowe, Scott (May 21, 2013). "Xbox One Controller Hands-on". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ May 22, 2013.
- ↑ 105.0 105.1 105.2 Needleman, Sarah E. (May 13, 2014). "Microsoft Adds New 1 TB Xbox One and Keeps Lower Price on 500 GB Model". The Wall Street Journal. Dow Jones & Company. สืบค้นเมื่อ June 11, 2015.
- ↑ 106.0 106.1 Nelson, Major (June 9, 2015). "New Xbox One 1TB Console Unveiled, Xbox One 500GB Console Reduced to $349". Xbox Wire. Microsoft. สืบค้นเมื่อ June 11, 2015.
- ↑ Welch, Chris (June 13, 2016). "Microsoft's new Xbox finally ditches the annoying power brick". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 13, 2016.
- ↑ Sarkar, Samit (September 18, 2014). "Xbox One controller for PC coming in November, and it's strangely familiar". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ September 18, 2014.
- ↑ Pereira, Chris (December 10, 2015). "You No Longer Have to Be on Windows 10 to Use the Xbox One Wireless Adapter". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ December 10, 2015.
- ↑ Dingman, Hayden (June 9, 2015). "The Xbox One wireless controller adapter is exclusive to Windows 10 for reasons". PC World. IDG. สืบค้นเมื่อ June 11, 2015.
- ↑ Machkovech, Sam (June 15, 2015). "Microsoft unveils new $150 Xbox One Elite controller—and we've held it". Ars Technica. Condé Nast. สืบค้นเมื่อ June 17, 2015.
- ↑ Welch, Chris (June 15, 2015). "Microsoft's Xbox One Elite Controller could be the ultimate console gamepad". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 17, 2015.
- ↑ Robinson, Martin (June 16, 2015). "Microsoft Introduce the New Modular Xbox Elite Wireless Controller". Eurogamer. Gamer Network. สืบค้นเมื่อ June 21, 2015.
- ↑ Machkovech, Sam (2017-01-23). "Clever "copilot" controller mode launches in latest Xbox guide update". Ars Technica (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2019-01-09.
- ↑ Stark, Chelsea (2018-05-17). "Microsoft's new Xbox controller is designed entirely for players with disabilities". Polygon. สืบค้นเมื่อ 2019-01-09.
- ↑ Hussain, Tamoor (2018-11-10). "Xbox One Keyboard And Mouse Supported By Fortnite, Feature Launches Next Week". GameSpot (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2018-12-18.
- ↑ Ramée, Jordan (2018-11-20). "Xbox One Now Supports Mouse And Keyboard For Select Titles, Like Fortnite And Warframe". GameSpot (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2018-12-18.
- ↑ Warren, Tom (2018-09-25). "Microsoft announces Xbox One keyboard and mouse support with Razer partnership". The Verge. สืบค้นเมื่อ 2018-12-18.
- ↑ 119.0 119.1 O'Brien, Terrence (May 21, 2013). "Microsoft's new Kinect is official: larger field of view, HD camera, wake with voice". Engadget. AOL. สืบค้นเมื่อ June 24, 2013.
- ↑ Bamji, Cyrus S.; O'Connor, Patrick; Elkhatib, Tamer; Mehta, Swati; Thompson, Barry; Prather, Lawrence A.; Snow, Dane; Akkaya, Onur Can; Daniel, Andy; Payne, Andrew D.; Perry, Travis; Fenton, Mike; Chan, Vei-Han (January 2015). "A 0.13 μm CMOS System-on-Chip for a 512 × 424 Time-of-Flight Image Sensor With Multi-Frequency Photo-Demodulation up to 130 MHz and 2 GS/s ADC". IEEE Journal of Solid-State Circuits. 50 (1): 303–319. doi:10.1109/JSSC.2014.2364270.
- ↑ Tach, Dave (May 21, 2013). "Kinect is always listening on Xbox One, but privacy is a 'top priority' for Microsoft". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ May 22, 2013.
- ↑ Dyer, Mitch (July 1, 2013). "Xbox One Kinect Will Scan Redemption Codes". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ July 2, 2013.
- ↑ Makuch, Eddie (May 23, 2013). "Xbox One: Microsoft's Phil Spencer Talks Used Games, Always-On". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ December 13, 2016.
- ↑ Robinson, Andy (May 13, 2014). "Microsoft to release Xbox One without Kinect". Computer and Video Games. Future plc. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 2, 2014. สืบค้นเมื่อ May 13, 2014.
- ↑ 125.0 125.1 Crecente, Brian (May 9, 2014). "Microsoft: Dropping Kinect could free up extra processing power in Xbox One". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ May 9, 2014.
- ↑ Maiberg, Emanuel (July 6, 2014). "Microsoft Store Lists Kinect for Windows v2 for $200, July 15 Release Date". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ October 2, 2014.
- ↑ 127.0 127.1 127.2 Makuch, Eddie (August 27, 2014). "Standalone Xbox One Kinect Launching October 7 for $150 With Dance Central". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ December 16, 2014.
- ↑ "Microsoft ends free Kinect adapter promotion for Xbox One S owners". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ April 5, 2017.
- ↑ Sarkar, Samit (January 2, 2018). "Microsoft discontinues Xbox One Kinect adapter". Polygon. สืบค้นเมื่อ January 2, 2018.
- ↑ Yin-Poole, Wesley (October 25, 2017). "Kinect officially dead". Eurogamer. สืบค้นเมื่อ October 25, 2017.
- ↑ 131.0 131.1 Stein, Scott (January 21, 2015). "Xbox One and Windows 10: New best friends". CNET. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ March 24, 2015.
- ↑ 132.0 132.1 132.2 132.3 132.4 132.5 Pino, Nick (August 31, 2016). "The Xbox One is getting better with every firmware update". TechRadar. Future plc. สืบค้นเมื่อ December 4, 2016.
- ↑ Crecente, Brian (May 22, 2013). "Xbox One architect: Operating system is the Xbox One's game changer". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ December 9, 2014.
- ↑ Sakr, Sharif (May 21, 2013). "Xbox One runs three operating systems, including cut-down Windows for apps". Engadget. AOL. สืบค้นเมื่อ May 21, 2013.
- ↑ Chacos, Brad (April 2, 2014). "Rejoice! The Start menu is coming back to Windows". PC World. IDG. สืบค้นเมื่อ April 2, 2014.
- ↑ Chacos, Brad (April 2, 2014). "Microsoft's universal Windows apps run on tablets, phones, Xbox, and PCs". PC World. IDG. สืบค้นเมื่อ April 5, 2014.
- ↑ 137.0 137.1 137.2 Orland, Kyle (September 20, 2013). "Xbox One interface a clean slate inspired by Windows 8". Ars Technica. Condé Nast. สืบค้นเมื่อ December 23, 2014.
- ↑ 138.0 138.1 "The Xbox One is getting a major update today, including a faster dashboard". The Verge. สืบค้นเมื่อ October 29, 2017.
- ↑ Makuch, Eddie (October 18, 2017). "Big Xbox One Update Out Now, Here's What It Adds". GameSpot (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ October 29, 2017.
- ↑ Veloria, Lorenzo (November 3, 2015). "Everything that's changed in the new Xbox One user interface". GamesRadar. Future plc. สืบค้นเมื่อ November 11, 2015.
- ↑ Warren, Tom (May 21, 2013). "Microsoft's new Xbox will include improved Siri-like speech recognition". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ May 21, 2013.
- ↑ Warren, Tom (October 2, 2015). "Cortana won't be available on the Xbox One until next year". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ October 3, 2015.
- ↑ 143.0 143.1 Warren, Tom (May 21, 2013). "Xbox One: a next-gen console with a focus on interactive TV and apps". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ May 25, 2013.
- ↑ 144.0 144.1 Makuch, Eddie (November 10, 2015). "New Xbox One Update Removes Kinect Gesture Support for Dashboard Navigation". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ November 11, 2015.
- ↑ Pereira, Chris (September 18, 2015). "Check Out Xbox One's New, Totally Revamped Interface in Action". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ September 18, 2015.
- ↑ Warren, Tom (August 4, 2015). "Windows 10 preview for Xbox One set to arrive in September for testers". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ August 5, 2015.
- ↑ "Xbox One Creators Update guide: Here's where everything went". PCWorld (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2018-08-28.
- ↑ "Microsoft's Xbox One snap mode is being removed with the new dashboard". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ May 8, 2017.
- ↑ Mitchell, Richard (August 29, 2014). "Xbox One update adds Smartglass features, USB media playback". Engadget. AOL. สืบค้นเมื่อ January 8, 2015.
- ↑ Trenholm, Richard (August 6, 2014). "New USB tuner unlocks clever Xbox One TV features for UK gamers". CNET. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ April 21, 2015.
- ↑ Lowe, Scott (May 21, 2013). "Next Xbox Will Reportedly Integrate Broadcast TV Feeds". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ May 21, 2013.
- ↑ Lawler, Richard (May 21, 2013). "Xbox One guide brings HDMI in/out, overlays for live TV". Engadget. AOL. สืบค้นเมื่อ May 25, 2013.
- ↑ Makuch, Eddie (May 21, 2013). "Xbox One adds Smart Match, Game DVR". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ December 13, 2016.
- ↑ Rigg, Jamie (October 21, 2014). "Microsoft launches the Xbox One Digital TV Tuner in Europe". Engadget. AOL. สืบค้นเมื่อ April 21, 2015.
- ↑ Warren, Tom (June 8, 2016). "Microsoft isn't adding a TV DVR feature to the Xbox One anymore". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ July 20, 2016.
- ↑ Yin, Wesley (June 19, 2013). "Microsoft makes the case for Xbox One's 300,000 server cloud, but what do developers think?". Eurogamer. Gamer Network. สืบค้นเมื่อ June 24, 2013.
- ↑ Steele, Billy (May 21, 2013). "Microsoft updates Xbox Live to outfit Xbox One with 300,000 servers, game DVR and more". Engadget. AOL. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 8, 2013. สืบค้นเมื่อ June 24, 2013.
- ↑ Nichols, Scott (May 21, 2013). "Xbox One to expand friend lists to 1,000 friends". Digital Spy. Hearst Magazines UK. สืบค้นเมื่อ June 24, 2013.
- ↑ Davis, Justin (May 21, 2013). "Xbox One to Become More Powerful Over Time via Cloud Computing". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ June 15, 2013.
- ↑ 160.0 160.1 Cangeloso, Sal (June 11, 2013). "Xbox One vs. PS4: Sony pulls ahead at E3". Geek.com. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ June 15, 2013.
- ↑ "Xbox One's holiday update arrives today with LFG, Clubs, and more". The Verge. สืบค้นเมื่อ May 8, 2017.
- ↑ Butts, Steve (July 20, 2013). "Comic-Con: The Future of Xbox". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ December 8, 2016.
- ↑ "Microsoft's Beam renamed to Mixer, adds co-op streaming (update)". Polygon. สืบค้นเมื่อ May 26, 2017.
- ↑ "The Xbox One gets Microsoft's Beam streaming and a faster interface today". The Verge. สืบค้นเมื่อ May 26, 2017.
- ↑ "Xbox at E3 2013: everything you need to know". The Verge. Vox Media. June 10, 2013. สืบค้นเมื่อ June 11, 2013.
- ↑ Grant, Christopher (August 9, 2013). "Xbox One allows households to share Live Gold status on one console with Home Gold". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ December 9, 2014.
- ↑ Plafke, James (May 13, 2014). "Desperate Microsoft removes Xbox Live Gold paywall for Netflix, Hulu, other web services". ExtremeTech. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ May 13, 2014.
- ↑ Phillips, Tom (May 13, 2014). "Microsoft to remove Xbox Live Gold paywall for streaming apps". Eurogamer. Gamer Network. สืบค้นเมื่อ May 13, 2014.
- ↑ 169.0 169.1 Skrebels, Joe (June 17, 2015). "Xbox One's backwards compatibility works because it's tricking your 360 games". GamesRadar. Future plc. สืบค้นเมื่อ June 20, 2015.
- ↑ 170.0 170.1 Grant, Christopher (August 4, 2015). "All future Xbox 360 Games with Gold freebies will be backwards compatible on Xbox One". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ August 5, 2015.
- ↑ Sinha, Robin (August 18, 2014). "Xbox One 'August' Update Roll-Out Begins; Brings New Activity Feed and More". NDTV. สืบค้นเมื่อ January 8, 2015.
- ↑ Matulef, Jeffrey (April 22, 2015). "Xbox One update will let you turn on the console with your phone". Eurogamer. Gamer Network. สืบค้นเมื่อ June 15, 2015.
- ↑ Summers, Nick (August 12, 2014). "Xbox One to Get TV Streaming for SmartGlass Apps". The Next Web. สืบค้นเมื่อ November 10, 2015.
- ↑ Sarkar, Samit (January 21, 2015). "Windows 10 will let you stream Xbox One games to any Windows 10 PC or tablet". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ January 21, 2015.
- ↑ Warren, Tom (June 15, 2015). "Xbox One game streaming to Windows 10 PCs is available now". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 15, 2015.
- ↑ Statt, Nick (June 15, 2015). "Oculus shows off final Rift virtual reality headset, partners with Microsoft's Xbox". CNET. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ June 15, 2015.
- ↑ Osborne, Joe (June 15, 2015). "Xbox One will get to stream games straight to Oculus Rift through Windows 10". TechRadar. Future plc. สืบค้นเมื่อ June 15, 2015.
- ↑ Warren, Tom (June 15, 2015). "Oculus Rift will ship with an Xbox One controller thanks to Microsoft partnership". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 15, 2015.
- ↑ Tassi, Paul (November 7, 2014). "PS4 And Xbox One Need A Serious Digital Downloading Overhaul". Forbes. สืบค้นเมื่อ January 18, 2015.
- ↑ 180.0 180.1 180.2 Crecente, Brian (June 19, 2013). "Xbox One loses some disc-free play, family game-sharing with revised policies". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 19, 2013.
- ↑ Machkovech, Sam (June 15, 2015). "Xbox Game Preview brings early access to Xbox One, adds free demo options". Ars Technica. สืบค้นเมื่อ December 13, 2016.
- ↑ 182.0 182.1 Gies, Arthur (June 13, 2017). "Microsoft introduces branding for Xbox One X improvements". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 14, 2017.
- ↑ 183.0 183.1 Purchese, Robert (17 June 2013). "You can plug an Xbox 360 into the Xbox One, says Major Nelson". Eurogamer. Gamer Network. สืบค้นเมื่อ September 28, 2013.
- ↑ Hollister, Sean (May 21, 2013). "Xbox One will not be backwards compatible with Xbox 360 games". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ May 21, 2013.
- ↑ Audrey, Drake (May 21, 2013). "Xbox One not backwards compatible". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ June 5, 2013.
- ↑ 186.00 186.01 186.02 186.03 186.04 186.05 186.06 186.07 186.08 186.09 186.10 186.11 McCafferty, Ryan (October 23, 2017). "The Untold Story of Xbox One Backwards Compatibility". IGN. สืบค้นเมื่อ October 23, 2017.
- ↑ Makuch, Eddie (September 3, 2013). "Microsoft Talks Digital-Only Future, Kinect, and Why Xbox One is Worth $100 More Than PlayStation 4". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ December 13, 2016.
- ↑ Karmali, Luke (November 8, 2013). "Xbox One Backwards Compatibility Through Cloud 'Problematic'". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ December 3, 2016.
- ↑ 189.0 189.1 Brunner, Grant (November 8, 2013). "Microsoft confirms that PS4, Wii U will work with Xbox One HDMI passthrough". ExtremeTech. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ March 3, 2015.
- ↑ Hicks, Jon. "The Xbox One 33 things you need to know". Official Xbox Magazine. Future plc. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 13, 2013. สืบค้นเมื่อ June 5, 2013.
- ↑ Dornbush, Jonathon (June 15, 2015). "Play your old Xbox 360 games on Xbox One starting this holiday". Entertainment Weekly. Time Inc. สืบค้นเมื่อ June 19, 2015.
- ↑ Kollar, Philip (August 3, 2015). "Rare Replay review: in times past". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ August 5, 2015.
- ↑ Warren, Tom (June 15, 2015). "Microsoft is bringing Xbox 360 games to the Xbox One". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 15, 2015.
- ↑ Machkovech, Sam (June 15, 2015). "Xbox 360 backward compatibility coming to Xbox One". Ars Technica. Condé Nast. สืบค้นเมื่อ June 15, 2015.
- ↑ Warren, Tom (June 15, 2015). "Microsoft built an Xbox 360 emulator to make games run on the Xbox One". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 15, 2015.
- ↑ Makuch, Eddie (August 19, 2015). "Xbox One Backwards Compatibility Could One Day Work With Original Xbox Games". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ July 20, 2016.
- ↑ Kohler, Chris (June 11, 2017). "Xbox One Will Get Compatibility With Original Xbox Games". Kotaku. สืบค้นเมื่อ June 11, 2017.
- ↑ Grant, Christopher (October 23, 2017). "Original Xbox compatibility, and 13 games, arriving on Xbox One tomorrow". Polygon. สืบค้นเมื่อ October 23, 2017.
- ↑ Tyrrel, Brandin (April 10, 2018). "Morrowind, Kotor 2, Jade Empire Headline New Wave Of Original Xbox Backwards Compatible Games". IGN. สืบค้นเมื่อ April 10, 2018.
- ↑ Bertz, Matt (May 22, 2013). "Game Informer Editors React To Xbox One News". GameInformer. GameStop. สืบค้นเมื่อ June 11, 2013.
- ↑ Walton, Mark (June 12, 2013). "The Uninspired Lineup of Xbox One". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ December 13, 2016.
- ↑ McShea, Tom (June 12, 2013). "Xbox One: New Console, Old Games". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ December 13, 2016.
- ↑ Mohammed, Rafi (June 21, 2013). "Did Microsoft Overshoot on Xbox One Pricing?". Bloomberg. สืบค้นเมื่อ June 23, 2013.
- ↑ Makuch, Eddie (June 24, 2013). "Xbox One pricing "too high" says business author". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ December 13, 2016.
- ↑ "The Xbox One Review". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ December 16, 2014.
- ↑ Gilbert, Ben (November 20, 2013). "Xbox One review: a fast and powerful work in progress". Engadget. AOL. สืบค้นเมื่อ December 16, 2014.
- ↑ Bakalar, Jeff (November 16, 2015). "Slow and steady, the Xbox One gradually improves". CNET. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ December 16, 2014.
- ↑ Yee, Alaina (November 26, 2014). "Xbox One with Kinect Review". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ June 23, 2015.
- ↑ Bohn, Dieter (August 2, 2016). "Xbox One S review". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ December 31, 2016.
- ↑ Welch, Chris (September 7, 2016). "Sony's new PlayStation 4 Pro can't play 4K Blu-rays". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ December 3, 2016.
- ↑ Goldfarb, Andrew (2017-01-09). "Microsoft Confirms Scalebound is Cancelled". IGN (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2018-08-05.
- ↑ "The Xbox One is struggling because video game exclusives still matter". The Verge. สืบค้นเมื่อ 2018-08-05.
- ↑ "Xbox's lack of compelling games won't be fixed next year". Engadget (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2018-08-05.
- ↑ "The Xbox One has a serious exclusive games problem". Polygon. สืบค้นเมื่อ 2018-08-05.
- ↑ "Microsoft announces big, multistudio push to create more Xbox exclusives". The Verge. สืบค้นเมื่อ 2018-08-05.
- ↑ Warren, Tom (2018-11-10). "Microsoft's Xbox exclusives push continues with new studio acquisitions". The Verge. สืบค้นเมื่อ 2018-12-18.
- ↑ "You won't need an Xbox to play Microsoft's next generation of games". CNET (ภาษาอังกฤษ). 2016-03-01. สืบค้นเมื่อ 2018-08-05.
- ↑ Crecente, Brian (July 1, 2016). "Xbox Play Anywhere launches Sept. 13". Polygon. สืบค้นเมื่อ September 28, 2016.
- ↑ Newhouse, Alex (2017-06-13). "E3 2017: Xbox Boss Clarifies What "Console Launch Exclusive" Means". GameSpot (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2018-08-05.
- ↑ Newhouse, Alex (2015-07-28). "Xbox One's Launch Parity Clause Is Pretty Much Over, Exec Says". GameSpot (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2018-08-05.
- ↑ Pereira, Chris (2014-10-10). "Xbox One's Parity Clause Meant to Make Owners Feel "First Class"". GameSpot (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2018-08-05.
- ↑ 222.0 222.1 Humphries, Matthew (October 26, 2015). "Microsoft decides not to share Xbox One sales figures anymore". Geek.com. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ December 3, 2016.
- ↑ Statt, Nick (November 22, 2013). "What console war? Microsoft sells 1M Xbox Ones in first 24 hours". CNET. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ November 23, 2013.
- ↑ "Xbox One dominated Black Friday sales, according to analyst". Computer and Video Games. Future plc. December 2, 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 31, 2014. สืบค้นเมื่อ December 2, 2013.
- ↑ Bass, Dina (December 11, 2013). "Microsoft's Xbox One Sales Hit 2 Million". Bloomberg. สืบค้นเมื่อ December 6, 2016.
- ↑ "Xbox One is Fastest Selling Console in the US; November NPD Group Figures Revealed". Xbox Wire. Microsoft. December 12, 2013. สืบค้นเมื่อ December 6, 2016.
- ↑ Haywald, Justin (December 12, 2013). "NPD: Xbox One is the "fastest-selling" console in November and Call of Duty leads software". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ December 14, 2013.
- ↑ Tassi, Paul (January 6, 2014). "Microsoft Reveals 3 Million Xbox One Sales In 2013". Forbes. สืบค้นเมื่อ February 19, 2014.
- ↑ Warren, Tom (January 23, 2014). "Microsoft's Q2: record $24.52 billion revenue and 3.9 million Xbox One sales". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ February 19, 2014.
- ↑ Mehdi, Yusuf (November 12, 2014). "Xbox One Sales on the Rise". Xbox Wire. Microsoft. สืบค้นเมื่อ November 12, 2014.
- ↑ Matulef, Jeffrey (November 12, 2014). "Xbox One Has Sold In Almost 10m Units to Retailers". Eurogamer. Gamer Network. สืบค้นเมื่อ June 19, 2015.
- ↑ Juba, Joe (December 11, 2014). "November NPD: Xbox One Overtakes PS4 This Month". Game Informer. GameStop. สืบค้นเมื่อ December 23, 2014.
- ↑ Sinclair, Brendan (January 11, 2016). "Xbox only hurting itself by refusing to share sales numbers". GamesIndustry.biz. Gamer Network. สืบค้นเมื่อ December 8, 2016.
- ↑ Romano, Sal (September 10, 2014). "Xbox One sells 23,000 during first week in Japan". Gematsu. สืบค้นเมื่อ December 6, 2016.
- ↑ "【速報】Xbox Oneの初週販売台数は23562台 ソフトの1位は『タイタンフォール』に". Famitsu. Enterbrain, Inc., Tokuma. September 10, 2014. สืบค้นเมื่อ December 6, 2016.
- ↑ Phillips, Tom (June 22, 2015). "Xbox One Weekly Japan Sales Hit New All-Time Low". Eurogamer. Gamer Network.
- ↑ Walton, Marky (January 29, 2016). "EA lets slip lifetime Xbox One and PS4 consoles sales". Ars Technica. Condé Nast. สืบค้นเมื่อ February 5, 2016.
- ↑ Graham, Luke (April 22, 2016). "Have we just found out how bad Xbox sales are?". CNBC. NBCUniversal. สืบค้นเมื่อ December 3, 2016.
- ↑ GameCentral (January 11, 2016). "Xbox One worldwide sales at 18 million, PS4 at 36 million". Metro. DMG Media. สืบค้นเมื่อ December 3, 2016.
- ↑ "E3: Xbox One chief teases Halo Infinite video game". BBC. June 10, 2018. สืบค้นเมื่อ August 13, 2018.
- ↑ 241.0 241.1 241.2 Fingas, Jon (June 10, 2013). "Early Xbox One buyers to get Day One Edition consoles". Engadget. AOL. สืบค้นเมื่อ December 1, 2014.
- ↑ Sarkar, Samit (May 13, 2014). "Kinect-free Xbox One coming June 9 for $399". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ December 1, 2014.
- ↑ 243.0 243.1 243.2 243.3 Moscaritolo, Angela (May 31, 2016). "Microsoft Drops Xbox One Price to $299". PC Magazine. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ June 13, 2016.
- ↑ Warren, Tom (May 31, 2016). "Xbox One price drops to $299 ahead of 'slim' console rumor for E3". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 13, 2016.
- ↑ 245.0 245.1 Warren, Tom (June 14, 2016). "Xbox One price drops again to $279". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 18, 2016.
- ↑ 246.0 246.1 Makuch, Eddie (September 1, 2015). "This New Xbox One Will Boot Up 20 Percent Faster". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ September 1, 2015.
- ↑ Corriea, Alexa Ray (November 21, 2013). "Watch an unboxing of a Microsoft employee's white Xbox One". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ December 1, 2014.
- ↑ Humphries, Matthew (March 7, 2014). "Respawn employees gifted limited edition Titanfall Xbox One". Geek.com. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ December 1, 2014.
- ↑ Webster, Andrew (March 6, 2014). "Microsoft launching Xbox One bundle with 'Forza 5' next week". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ January 10, 2015.
- ↑ Karmali, Luke (August 5, 2014). "White Xbox One Heading to Retail With Sunset Overdrive". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ August 8, 2014.
- ↑ Nunneley, Stephany (November 4, 2014). "That snazzy Limited Edition Call of Duty: Advanced Warfare Xbox One Bundle has released". VG247. สืบค้นเมื่อ December 1, 2014.
- ↑ Page, Dennis (September 11, 2014). "Introducing the Xbox One Call of Duty: Advanced Warfare Bundle". IGN. Ziff Davis. สืบค้นเมื่อ December 1, 2014.
- ↑ Whitney, Lance (October 15, 2014). "Xbox One bundles to offer free Assassin's Creed games". CNET. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ December 1, 2014.
- ↑ Reisinger, Don (March 9, 2015). "Xbox One bundle includes Master Chief Collection". CNET. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ May 18, 2014.
- ↑ Sarkar, Samit (June 23, 2015). "Forza 6 bundled with limited-edition blue Xbox One for Forza's 10th anniversary". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ October 17, 2015.
- ↑ Kain, Erik (October 21, 2015). "'Halo 5' Xbox One Bundles Are Arriving A Week Before The Game Launches". Forbes. สืบค้นเมื่อ October 22, 2015.
- ↑ "Xbox One Limited Edition Halo 5 Guardians Bundle". Xbox.com. Microsoft. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 8, 2016. สืบค้นเมื่อ October 22, 2015.
- ↑ Orland, Kyle (July 26, 2016). "Slimmed down 2TB Xbox One S hits stores August 2 for $399". Ars Technica. Condé Nast. สืบค้นเมื่อ July 26, 2016.
- ↑ Whitney, Lance. "Xbox One S 500GB, 1TB bundles to launch on August 23". CNET. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ August 4, 2016.
- ↑ Sirani, Jordan (July 14, 2016). "Gears of War 4-Themed Xbox One S Officially Revealed". IGN (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ November 14, 2017.
- ↑ 261.0 261.1 "Microsoft cuts Xbox One S price by $50 ahead of Project Scorpio unveiling". The Verge. สืบค้นเมื่อ June 11, 2017.
- ↑ "Limited-Edition Minecraft Xbox One S Available to Pre-Order". PC Magazine (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ November 14, 2017.
- ↑ "Fortnite Xbox One S bundle features some console exclusives". Polygon. สืบค้นเมื่อ 2018-09-26.
- ↑ "Announcing the Minecraft Creators Bundle - Xbox Wire". news.xbox.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2018-10-10.
- ↑ "Minecraft Creators Xbox One S bundle coming 'soon' for $299". Windows Central (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2018-10-10.
- ↑ "Microsoft's All Access subscription really is a good deal if you want an Xbox". Polygon. สืบค้นเมื่อ 2018-08-27.
- ↑ Fogel, Stefanie (August 27, 2018). "Microsoft Launching Xbox All-Access Financing Program". Variety. สืบค้นเมื่อ August 27, 2018.
- ↑ 268.0 268.1 268.2 268.3 268.4 Warren, Tom (June 11, 2017). "Xbox One X is Microsoft's next game console, arriving on November 7th for $499". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 12, 2017.
- ↑ Warren, Tom (August 20, 2017). "Microsoft's Project Scorpio returns as a special Xbox One X for preorders". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ November 11, 2017.
- ↑ Sarkar, Samit (November 8, 2017). "What do the numbers on the Xbox One X Project Scorpio Edition box mean?". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ November 11, 2017.
- ↑ Lawler, Richard (June 9, 2017). "Xbox exec reveals Scorpio has 9GB of RAM available for games". Engadget. AOL. สืบค้นเมื่อ June 12, 2017.
- ↑ 272.0 272.1 Leadbetter, Richard (April 6, 2017). "Inside the next Xbox: Project Scorpio tech revealed". Eurogamer. Gamer Network. สืบค้นเมื่อ April 6, 2017.
- ↑ Walton, Mark (June 12, 2017). "Xbox One X: Everything you need to know". Ars Technica (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). Condé Nast. สืบค้นเมื่อ August 4, 2017.
- ↑ Rejhon, Mark (April 21, 2018). "XBox Consoles Now Support 120Hz". Blur Busters. สืบค้นเมื่อ April 21, 2018.
- ↑ 275.0 275.1 275.2 Webster, Andrew (June 13, 2016). "Project Scorpio is a 4K-capable, VR-ready Xbox One launching next fall". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 13, 2016.
- ↑ Orland, Kyle (October 28, 2015). "How dynamic resolution scaling keeps Halo 5 running so smoothly". Ars Technica. Condé Nast. สืบค้นเมื่อ June 13, 2016.
- ↑ Paul, Ian (March 2, 2017). "Windows 'Mixed Reality' VR headsets will hit the Xbox One and Project Scorpio next year". PCWorld. IDG. สืบค้นเมื่อ April 26, 2018.
- ↑ Crecente, Brian (June 6, 2017). "Don't expect Xbox VR to be at E3 this year, or in stores this holiday". Polygon. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 11, 2017.
- ↑ Matulef, Jeffrey (June 14, 2016). "Project Scorpio won't have any exclusives". Eurogamer. Gamer Network. สืบค้นเมื่อ June 14, 2016.
- ↑ Makuch, Eddie (June 13, 2016). "Some Games Could Be Exclusive to New Xbox Scorpio System". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ June 13, 2016.
- ↑ Warren, Tom (June 13, 2017). "Xbox's Phil Spencer: PS4 Pro is an Xbox One S competitor, not a true 4K console". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 14, 2017.
- ↑ Byford, Sam (June 16, 2016). "First Click: Are Sony and Microsoft's new consoles PC gone mad?". The Verge. Vox Media. สืบค้นเมื่อ June 18, 2016.
- ↑ Makuch, Eddie (October 10, 2016). "Xbox Scorpio vs. PS4 Pro -- Microsoft Discusses Its Big Power Advantage". GameSpot. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ October 21, 2016.
- ↑ Souppouris, Aaron (June 14, 2016). "It's never been harder to buy an Xbox One". Engadget. AOL. สืบค้นเมื่อ June 14, 2016.
- ↑ Parfitt, Ben (June 15, 2016). "4K won't be mandatory for Xbox Scorpio games". MCV. NewBay Media. สืบค้นเมื่อ June 15, 2016.
- ↑ Pereira, Chris (August 9, 2016). "Microsoft Confirms 2 TB Xbox One S Launch Model Is a Limited-Time Version". Gamespot. สืบค้นเมื่อ 19 October 2018.
- ↑ "Microsoft Project Scorpio Dev Kit detailed". Fudzilla.com. April 14, 2017. สืบค้นเมื่อ December 22, 2017.
- ↑ Cutress, Ian (August 21, 2017). "Hot Chips: Microsoft Xbox One X Scoprio Engine Live Blog". Anandtech. สืบค้นเมื่อ August 21, 2017.
- ↑ Developers, The. "Xbox One Dimensions and Kinect Cable Length Revealed « GamingBolt.com: Video Game News, Reviews, Previews and Blog". Gamingbolt.com. สืบค้นเมื่อ December 22, 2017.
- ↑ Sam Machkovech - August 2, 2016 1:00 pm UTC (August 2, 2016). "Xbox One S: The smaller, handsomer, 4K-ier system we've been looking for". Ars Technica. สืบค้นเมื่อ December 22, 2017.
- ↑ "Xbox One X Specs". Xbox One X. Microsoft.com. สืบค้นเมื่อ November 15, 2009.
External links
[แก้]- เว็บไซต์ทางการ
- John Sell, Patrick O'Connor (Microsoft), "Xbox One: Main SoC and Xbox one Kinect", presented at the Hot Chips Symposium 25, 2013
การแข่งหรือฤดูกาลปัจจุบัน: 2023 XFL season | |
กีฬา | American football |
---|---|
ก่อตั้ง | January 25, 2018 |
ผู้ก่อตั้ง | Vince McMahon |
ฤดูกาลแรก | 2020 |
เจ้าของ |
|
ซีอีโอ | Dany Garcia |
ประธาน | Russ Brandon |
ผู้ได้รับมอบหมาย | TBD |
จำนวนทีม | 8 |
ประเทศ | United States |
สำนักงานใหญ่ | Centerfield Office Building Arlington, Texas U.S. |
หุ้นส่วนโทรทัศน์ | |
การแข่งขันที่เกี่ยวข้อง | Direct: Indoor Football League Other: USFL |
เว็บไซต์ | XFL.com |
XFL คือลีคอเมริกันฟุตบอลอาชีพอเมริการะดับรอง [2] ซึ่งประกอบไปด้วย 8 ทีม ซึ่งมีที่ตั้งอยู่ทั่วสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มฤดูกาลตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤกษภาคม ซึ่งแต่ละทีมจะต้องทำการแข่งขัน 10 เกมในช่วงฤดูกาลปกติ หลังจากนั้นจะมี 4 ทีมที่ได้เข้าไปแข่งในรอบเพลย์ออฟเพื่อชิงแชมป์ในฤดูกาลนั้น[a] โดยสำนักงานใหญ่ของลีคตั้งอยู่ที่เมืองอาร์ลิงตัน รัฐเท็กซัส.
XFL ถูกก่อตั้งในปี 2018 โดยมีวินซ์ แม็กแมน ประธานบอร์ดบริหารของ WWE โดยถือเป็นลีคที่สืบทอดมาจากลีคในชื่อเดียวกัน ซึ่งเขาได้ก่อนตั้งขึ้นเมื่อปี 2001. ซึ่งแม็กแมนสร้าง XFL ใหม่นี้ขึ้นมาให้เรียบง่ายกว่าเนชันแนลฟุตบอลลีก (NFL)โดยมีการลดการโต้แย้งนอกสนามให้น้อยลงและทำให้เกมมีจังหวะที่เร็วขึ้น และไม่มีคุณลักษณะใด ๆ ที่ได้รับแรงบรรดาลใจมวยปล้ำอาชีพ หรือ ความบันเทิง ดั่งกับเอ็กซ์เอฟแอลที่ทำการแข่งขันในปี 2001 โดยแต่เดิมลีคและทีมแข่งขันทั้งหมดมีเจ้าของคือ Alpha Entertainment ของวินซ์ แม็กแมน เอง[3]
ภายหลังจากที่การแข่งขันผ่านไป 5 สัปดาห์หลังจากเริ่มแข่งขันในฤดูกาล 2020 การดำเนินการของลีกค่อย ๆ ปิดลงเนื่องจากการการระบาดทั่วของโควิด-19_ในสหรัฐ,[4] และได้ยื่นขอล้มละลายเมื่อวันที่ 13 เมษายน[5] ในเดือนสิงหาคมปี 2020 นักแสดงและอดีตนักมวยปล้ำของ WWE ดเวย์น จอห์นสัน พร้อมพันธมิตรทางธุรกิจและอดีตภรรยาอย่างดานี การ์เซีย ได้ร่วมกันเข้าซื้อ XFL ในราคา 15 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ[6][7] โดยลีคมีกำหนดกลับมาแข่งขันต่อในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2023
XFL เริ่มดำเนินการในระหว่างช่วงฤดูหนาวถึงช่วงต้นของฤดูใบไม้ผลิในสหรัฐอเมริกา ภายหลังจากสิ้นสุดฤดูกาลของ NFL และก่อนเริ่มฤดูกาลของUnited States Football League (USFL) โดย XFL มีความร่วมมือด้านบุคลากรของผู้เล่นกับ Indoor Football League (IFL) ซึ่งในทางพฤตินัยถือว่าเป็นลีคระดับรองของ XFL อีกต่อหนึ่ง[8]
History
[แก้]Original XFL (2001)
[แก้]The original XFL ran for a single season in 2001, as a joint venture between the World Wrestling Federation (WWF) and NBC spearheaded by Vince McMahon and NBC executive Dick Ebersol. The league attempted to be a competitor to the National Football League (NFL)—the predominant professional league of American football in the United States (and where NBC had lost its broadcast rights to CBS three years earlier), running during the late winter and early spring to take advantage of lingering desire for football after the end of the NFL season. It featured various modifications to the rules of football in order to increase its intensity, as well as on-air innovations such as Skycams, placing microphones on players, and in-game interviews with players. The league was criticized for relying too heavily on "sports entertainment" gimmicks similar to professional wrestling. Despite strong ratings for its first games, viewership eventually nosedived, and the league folded after the conclusion of the inaugural season.[9][10][11][12][13] Both partners lost $35 million on the XFL,[14] and McMahon eventually conceded that the league was a "colossal failure".[15][16]
Rebuild
[แก้]In the 2017 ESPN 30 for 30 documentary This Was the XFL, McMahon openly mused about reviving the XFL, noting that changes would need to be made compared to 2001 to make it viable and relevant in the modern era.[17] McMahon had purchased the trademarks of the defunct United Football League and an alternative brand, "UrFL" (Your Football League), in early 2017.[18] The following year, the director of the documentary, Charlie Ebersol (son of Dick Ebersol), would go on to help form the Alliance of American Football (AAF) in 2018, hoping to beat the revived XFL in being the first to play (they did by a year).[19] While the league was able to launch in 2019, a year before the XFL's first season, it went bankrupt before its first season finished after it twice lost its major investors.[20] On December 15, 2017, Bleacher Report columnist Brad Shepard reported that McMahon was seriously considering a revival of the XFL, with an expected announcement on January 25, 2018. In a statement to Deadspin, WWE did not confirm or deny the rumors, but did state that McMahon was establishing a new company known as Alpha Entertainment, which would "explore investment opportunities across the sports and entertainment landscapes, including professional football."[10] On December 21, 2017, WWE issued a filing to the Securities and Exchange Commission, stating that McMahon had sold $100 million worth of WWE stock to fund Alpha Entertainment.[21] Alpha Entertainment was headquartered next door to WWE headquarters in Stamford, Connecticut.[22]
On January 25, 2018, Alpha Entertainment announced a new incarnation of the XFL, which would begin with a 10-week inaugural season beginning in January or February 2020. In a press conference, McMahon stated that the new XFL would be dissimilar to its previous incarnation, stating that "There's only so many things that have 'FL' on the end of them and those are already taken. But we aren't going to have much of what the original XFL had." McMahon stated that the league would feature eight teams as a single entity owned by Alpha (the previous XFL was also a single-entity league), which had been revealed in 2019. Alpha Entertainment was established to keep the league's management and operations separate from that of WWE.[16][23] McMahon is prepared to invest as much as $500 million, five times as much as his investment in the 2001 XFL.[24] He liquidated an additional $270 million in WWE stock (representing a 4% stake in WWE) in March 2019 to provide additional funding for the league.[25]
The XFL under McMahon discouraged political gestures by players during games such as, for example, taking a knee in protest. McMahon also planned to forbid any player with a criminal record from participating. Commissioner Oliver Luck later walked back the latter decision, noting that the policy had not yet been finalized,[22] and stated in April 2019 that it would allow its teams to sign Johnny Manziel, who was convicted of domestic violence in 2016.[26] Manziel nonetheless was excluded from the inaugural draft and player allocations, with the league later stating that it had "no interest" in him.[27] Felony convictions are still a disqualification.[28] McMahon justified his intentions by stating that the XFL would be "evaluating a player based on many things, including the quality of human being they are", and that "people don't want social and political issues coming into play when they are trying to be entertained". He suggested that players who wish to express political opinions should do so on their time.[23][16] Luck stated in October 2018 that the ban on protesting during the national anthem would be written into player contracts as a condition of employment and that the stipulation was McMahon's idea; Luck agreed that the league aimed to be as non-political as possible. Players were not barred from using cannabis, as the league did not test for the drug.[29]
McMahon did not initially reveal any specific details on rule changes that the new XFL would feature but did state that he aimed to reduce the length of games to around two hours (in contrast to the standard in American football, which generally runs slightly over three hours). The league later revised this to a two-and-a-half-hour target length.[30] Later, when announcing new changes to overtime rules, it was implied that television broadcasts would have three-hour time slots, into which the entire game and overtime would fit.[31] Test games resulted in an average game time of 2 hours and 40 minutes with a comparable number of plays to an NFL game.[32] Halfway through the first season, the average length of a regular-season game clocked in at 2 hours, 50 minutes,[33] the same as the Canadian Football League.[34] He also noted that by announcing it two years in advance (unlike the original XFL, which was only announced one year in advance), there would also be more time to prepare the league to deliver a more desirable product.[35][23] McMahon said the timing of the announcement was not meant to coincide with a recent ratings downturn being experienced by the NFL, adding, "What has happened there is their business, and I'm not going to knock those guys, but I am going to learn from their mistakes as anyone would if they were tasked with reimagining a new football league."[23]
On June 5, 2018, Oliver Luck was named the league's commissioner and chief executive officer. Luck left his previous positions with the NCAA to take over the operations of the XFL.[36] Doug Whaley, most recently general manager of the Buffalo Bills, was hired as the league's senior vice president of football operations on November 8, 2018.[37] On January 22, 2019, Jeffrey Pollack was named the president and chief operating officer, coming from his previous role as the chief marketing and strategy officer and special adviser for the Los Angeles Chargers.[38]
McMahon stated that he wanted to play in existing NFL markets but did not identify potential cities specifically and did not rule out any specific cities. McMahon also did not rule out playing on artificial turf. The original XFL avoided artificial playing surfaces (as most such surfaces then were more carpet-like); however, the technology advanced considerably since 2001, with modern artificial turfs mimicking real grass more closely. John Shumway from KDKA-TV in Pittsburgh and local media from Orlando and San Diego both inquired about potential teams in their respective cities, but McMahon (while stating that "I love Pittsburgh") declined to name any cities for teams. McMahon also stated that teams would have new identities compared to recycling old identities from the old league.[39] The league sent solicitations to thirty metropolitan areas as potential locations for a team.[40]
Commissioner Luck announced the eight host cities and stadiums for the first franchises on December 5, 2018, and also announced the starting date of February 8, 2020, the weekend after Super Bowl LIV,[41] the date on which its first two games were later played.[42] Its first head coach and general manager, Dallas's Bob Stoops, was announced February 7, 2019,[43] with the coaches for Seattle (Jim Zorn), DC (Pep Hamilton), and Tampa Bay (Marc Trestman) following later in the month. The last of the inaugural head coaches, Houston's June Jones, was hired May 13 and introduced May 20.[44] The emergence of the Alliance of American Football created issues selecting cities to host XFL teams, as many potential candidates became home to AAF teams (notably Orlando, the next largest city without an NFL team and an acceptable stadium. Orlando was also one of the original XFL's most successful markets and second in attendance for the 2019 AAF season). Not wanting teams to compete against other spring football teams in the same market, the XFL chose different cities than the AAF.
The league chose to focus on placing teams in large media markets, selecting five of the top seven largest media markets in the U.S.; based on 2017 census bureau estimates, all eight 2020 XFL markets had over 2.9 million residents each (the smallest being St. Louis).[45] This was seen as a stark contrast to the other emerging spring football league, the Alliance of American Football, which primarily chose markets without NFL teams, seen as a decision to avoid competing with existing fan bases; two of the AAF's markets (Birmingham and Memphis, which both had teams in the first XFL) had populations less than half that of St. Louis's.[46] The only 2020 XFL market that did not host an NFL team was St. Louis, which in 2015 saw its NFL team (the Rams) return to Los Angeles.[47]
In May 2019, the XFL placed a bid on some of the AAF's former assets as part of that league's bankruptcy proceedings.[48] The league was outbid by former Arena Football League executive Jerry Kurz.[49] Several months earlier in December 2018, Charlie Ebersol asked Vince McMahon about merging the AAF (which had then yet to start its ultimately-aborted sole season) with the XFL. McMahon turned him down.[50]
The league signed its first player, quarterback Landry Jones, on August 15, 2019. The XFL revealed team names and logos on August 21, 2019.[51] Players were assigned to each team in the 2020 XFL Draft from October 15 to 16, with schedules released October 22 and ticket sales opening to the general public October 24. Uniforms were revealed December 3.[52][53]
In the week leading up to the kickoff, the XFL secured sponsorships from Gatorade and Anheuser-Busch.[54] The Anheuser-Busch sponsorship is used to promote Bud Light Seltzer; the "seltzer chug" became a postgame locker room tradition in part because of the product placement deal.[55] After averaging 3.1 million viewers in its first week,[56] average ratings for the XFL would drop to 1.5 million viewers during its fifth and final week.[57]
Mid-season suspension
[แก้]On March 12, 2020, the league canceled the remainder of its regular-season games over concerns related to the COVID-19 pandemic; similar concerns led other major sports leagues, including the NBA, NHL, MLS, MLB, MLR seasons and NCAA to suspend or cancel games.[58] The announcement came after a Seattle Dragons player, who self-reported symptoms to his team's medical staff, had been tested for coronavirus but had not yet received his results (the unnamed player eventually tested positive).[59] Although teams only played five games, the league announced it would pay all players their base salary for the rest of the season; players who received legitimate offers from the NFL or Canadian Football League (CFL) would be allowed to sign with those teams but with a clause requiring them to return to their XFL teams if the league were able to hold its championship game.[60] At the time, the league still planned on having a 2021 season; it was exploring relocating as many as three of its teams, with the league contacting authorities in San Antonio, Texas, in early April about potentially placing a franchise there.[61] Other potential 2021 actions included moving the Tampa Bay Vipers to Orlando and the New York Guardians to a smaller New Jersey stadium, Red Bull Arena.[62]
On April 10, 2020, league president Jeffrey Pollack informed employees on a conference call that the league was suspending operations and that all employees would be terminated.[4] Three days later, on April 13, the league filed for Chapter 11 bankruptcy protection, stating that the coronavirus pandemic had deprived the league of tens of millions of dollars in revenue.[63] With the bankruptcy filing, the league put itself up for sale and began the process of seeking a buyer to maximize the value of its assets to pay off creditors.[5] Luck, who had returned home to Indiana March 13,[64] was fired from his position before the bankruptcy filing, which led him to sue McMahon personally for wrongful termination on April 21.[65]
On May 20, 2020, the league made its first actions toward resuming operations by asking authorities in St. Louis, Houston and Seattle to reinstate stadium lease agreements that it had previously been attempting to discharge in the bankruptcy.[66][67]
On May 26, 2020, court filings in the XFL bankruptcy case revealed key dates surrounding the possible sale of the league. As part of the bankruptcy agreement, McMahon agreed not to buy back the XFL.[68] The deadline to file as a bidder was set for July 30, the auction was scheduled to take place August 3 and the sale hearing was set for August 7 at 10 am.[69] However, court documents which were made public on July 28, 2020, revealed that the XFL would not sell unless they successfully negotiated a new broadcasting agreement.[70]
On July 1, 2020, ESPN filed a motion in court stating that they would be willing to consider broadcasting the XFL again under new ownership, but also made clear they would not hold any stake in XFL assets.[71] ESPN even stated that the XFL's "services, skills and talents are not fungible."[71] On July 23, 2020, Fox also filed a motion in court which signaled a willingness to broadcast the XFL as well, but only under the condition that a new league owner could negotiate a new broadcasting agreement.[72] Fox described the XFL as a "Debtor."[72] On July 28, 2020, it was revealed that ABC had joined Fox and ESPN in calling for new television deals via the court system.[73] It was also reported that ESPN, which is also connected to ABC,[73] wanted to sever ties with the XFL.[74] However, Fox was still open to continuing negotiations with the XFL, but wanted new terms for any future broadcasting agreement and was noncommittal.[74]
Sale and relaunch
[แก้]On August 3, 2020, it was reported that a consortium led by Dwayne "The Rock" Johnson, Dany Garcia, and Gerry Cardinale (through Cardinale's fund RedBird Capital Partners) purchased the XFL for $15 million just hours before an auction could take place; the purchase received court approval on August 7, 2020.[6][7] The XFL's parent company originally listed the league with assets and liabilities in the range of $10 million to $50 million.[57][75] Johnson, who previously worked for McMahon as WWE wrestler The Rock, played collegiate football with the Miami Hurricanes in the 1990s and as a professional with the Calgary Stampeders of the Canadian Football League; he and Garcia were married from 1997 to 2007 and have remained business partners since their divorce. Cardinale's previous investments included the New York Yankees' side projects (such as YES Network and Legends Hospitality) and Suddenlink Communications.[76] On August 21, 2020, the transition of ownership was completed, with Johnson stating "The deal is officially closed and 'the keys' to the XFL have been handed over."[77] On October 1, 2020, the XFL announced its return in spring 2022.[78] Johnson and Garcia both stated that they would rescind the policy forbidding kneeling during the national anthem and would instead openly support and encourage such behavior in an October 14 interview with Vice.[79]
On March 10, 2021, it was announced that the XFL and CFL had entered into formal talks ahead of "opportunities for the leagues to collaborate, innovate, and grow the game of football". According to XFL President & CEO Jeffrey Pollack, the league had decided to hit the pause button on their planned 2022 season, so they can focus on talks with the CFL. Both sides have declined to rule out any particular outcome from their talks which could theoretically include a merger or acquisition.[80][81] On July 7, 2021, both leagues ended the discussions with no agreement; in the same statement, the XFL cancelled its 2022 season, intending to return in "Spring 2023".[82]
On October 14, 2021, it was revealed that XFL and Jeffrey Pollack had parted ways, leaving the role as president vacant.[83] On November 8, 2021, in its first substantial public actions since its sale, the league announced the hiring of an executive team; five of the nine hires, including Doug Whaley, returned from the McMahon era. The league named NFL Network Analyst Marc Ross as its new EVP, as well as Russ Brandon, under whom Whaley had worked in the Buffalo Bills organization, as its new president, replacing the outgoing Pollack.[84] On December 21, 2021, the XFL announced six new additions to the football operations department; two of the six hires returned from the McMahon era.[85]
On December 2, 2021, it was revealed on Dany Garcia's Instagram page that the 2023 XFL Season would start on February 18, 2023. It was later revealed on January 4, 2022, on Dwayne Johnson's and Dany Garcia's social media pages that Training Camp was set to begin on January 4, 2023.[86][87][88]
On March 11, 2022, multiple news reports indicated that the XFL had hired Reggie Barlow away from the Virginia State Trojans to serve as a head coach.[89] Virginia State confirmed Barlow had taken a job with the XFL.[90] On April 6, 2022, multiple news reports indicated that the XFL had hired their second head coach in former NFL defensive back Terrell Buckley. The reports indicated Buckley would coach a team in Orlando, Florida; Orlando was not among the eight cities that hosted an XFL team in 2020[89] but had begun discussions with the XFL during the 2020 season about relocating the Tampa Bay Vipers there.[61] Orlando had hosted the Orlando Apollos, the second top-attended team in the Alliance of American Football in 2019 and the Orlando Rage, one of the most successful teams in the original XFL in 2001.
On April 6, 2022, a report came out that sources close to the league had mentioned that XFL would be keeping five teams in their original 2020 locations (DC Defenders, St. Louis BattleHawks, Dallas Renegades, Houston Roughnecks and Seattle Dragons), following through with the Vipers proposed move to Orlando, and adding two new teams in San Antonio and Las Vegas.[91] The teams in San Antonio and Las Vegas would replace the New York Guardians and the Los Angeles Wildcats, respectively.[92] According to the same report, the league was looking to re-hire Renegades head coach Bob Stoops and potentially bring back former Vipers head coach Marc Trestman in another capacity, while noting that in regard to coaches, "the situation (was) fluid" at the time and that several other former NFL players were being considered for coaching positions.[93] Seattle and St. Louis, the XFL's two highest-attended teams in 2020, were long expected to return.[67]
On April 6, 2022, the XFL announced a new brand identity from a partnership with R/GA, including streamlining its logo to distance itself from the original XFL even more; the X in the logo represents the "intersection of dreams and opportunity".[94] Togethxr, a media and commerce company founded by athletes Alex Morgan, Sue Bird, Chloe Kim, and Simone Manuel, issued a legal notice to the XFL over similarities between Togethxr's logo and a promotional image that the XFL produced with the word "together" between a vertically split letter X. Both Togethxr's company name and the word "together" in the XFL image are rendered in all caps.[95]
On April 13, 2022, the XFL confirmed the hirings of Stoops, Buckley and Barlow, along with the league's five other head coaches, without identifying which teams they would coach. The other head coaches hired were Wade Phillips, Rod Woodson, Anthony Becht, Jim Haslett and Hines Ward.[96]
On May 17, 2022, the official kickoff date for the 2023 season was announced to be on February 18. It was also announced that all XFL games would be broadcast on ABC as well as the networks of ESPN, ESPN2 and FX as part of a deal with The Walt Disney Company that lasts until 2027.[97]
On May 18, 2022, two separate reports indicated that The Dome at America's Center had left 5 open dates anticipating the BattleHawks' return,[98] and that TDECU Stadium would host XFL games in 2023.[99]
On June 9, 2022, directors of player personnel and offensive and defensive coordinators were announced. Among the announcements was the confirmation of June Jones joining Haslett's staff, as well as Gregg Williams on Barlow's staff.[100]
On July 18, 2022, Kevin Seifert announced that cities and stadiums, which would largely be on the same scale as college, NFL, and Major League Soccer venues the league had used in 2020, would be announced by the end of July, and implied that teams that did not have trademark disputes and were returning from their home cities would retain their 2020 brands.[101]
On July 25, 2022, Johnson and Garcia held an XFL Townhall at Texas Live! where they confirmed team locations, venues, and staff allocation. All 2020 XFL teams except the Los Angeles Wildcats would return. They would be replaced by a team in San Antonio, with the Tampa Bay Vipers and New York Guardians relocating to Las Vegas and Orlando respectively.[102]
On August 8, 2022, it was first reported that the XFL is looking for new equity investors in the league. The league has retained PJT Partners to help with the search and raise $125 million in equity funding, while new investors could own up to 35%-45% of the XFL.[103]
Teams
[แก้]On July 25, 2022, Johnson and Garcia held a XFL Townhall at Texas Live! in Arlington where they confirmed all 2020 XFL markets except Los Angeles, Tampa Bay, and New York would return. Los Angeles, Tampa Bay, and New York would be replaced by teams in San Antonio, Las Vegas, and Orlando respectively.[104][105] Teams in existing cities are listed under their 2020 names (as the XFL retains the trademarks on those teams). The Seattle team's name was slightly altered from their 2020 name, going from the "Seattle Dragons" to the "Seattle Sea Dragons"
- ↑ 1.0 1.1 Perry, Mark (August 3, 2020). "More Details On The Rock Purchase Of The XFL, How Many Bidders". XFL News Hub. สืบค้นเมื่อ August 3, 2020.
- ↑ Florio, Mike (August 16, 2022). "XFL hires Jordan Paler as league wide director of quarterback development". MSN. สืบค้นเมื่อ November 21, 2022.
- ↑ Littleton, Cynthia (April 13, 2020). "Vince McMahon's XFL Files for Bankruptcy Amid Pandemic Shutdown". Variety. สืบค้นเมื่อ May 17, 2020.
- ↑ 4.0 4.1 "XFL suspends operations, lays off employees and has no plans for 2021 season". ESPN. April 10, 2020. สืบค้นเมื่อ April 10, 2020.
- ↑ 5.0 5.1 "XFL Files for Bankruptcy, Up for Sale". The Hollywood Reporter. April 13, 2020. สืบค้นเมื่อ April 13, 2020.
- ↑ 6.0 6.1 "THE ROCK BUYS THE XFL FOR $15 MILLION". RingsideNews.com. August 2, 2020. สืบค้นเมื่อ August 2, 2020.
- ↑ 7.0 7.1 Kerr, Jeff (August 2, 2020). "Dwayne 'The Rock' Johnson buys XFL for $15 million with partners RedBird Capital and Dany Garcia". CBS Sports. สืบค้นเมื่อ August 2, 2020.
- ↑ "XFL & IFL Announce Player Personnel Partnership" (Press release). XFL. 12 Oct 2022.
- ↑ ""This Was The XFL" Director Charlie Ebersol On Why The XFL Failed–But Might Work Now". Fast Company (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). February 2, 2017. สืบค้นเมื่อ January 25, 2018.
- ↑ 10.0 10.1 "Will the XFL actually be making a return? WWE is not exactly denying the rumors". CBS Sports (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ January 25, 2018.
- ↑ "XFL stops going to extremes". NY Daily News (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ January 25, 2018.
- ↑ "XFL ends ratings slide – just barely". ESPN. สืบค้นเมื่อ January 25, 2018.
- ↑ "Monday Night Wrong: Vince McMahon fumbles with the XFL". Sporting News. December 21, 2017. สืบค้นเมื่อ January 25, 2018.
- ↑ "XFL Is Down for the Count". ABC News (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ January 25, 2018.
- ↑ Johnson, Mike (May 16, 2013). "5/16 This day in history". PWInsider. สืบค้นเมื่อ January 18, 2015.
- ↑ 16.0 16.1 16.2 Draper, Kevin (2018). "Vince McMahon Says He Will Revive the X.F.L., With a Very Different Look". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ January 25, 2018.
- ↑ Holloway, Daniel (February 3, 2017). "'This Was the XFL' Director on Vince McMahon, Concussions and Whether League Could Make a Comeback". Variety (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ January 26, 2018.
- ↑ Bixenspan, David (December 19, 2017). "Timing Of Trademarks Suggests "New XFL" May Be A Response To NFL Protests". Deadspin.com. สืบค้นเมื่อ February 1, 2020.
- ↑ Eight-Team XFL Competitor Plans to Launch in February 2019, Dan Gartland, Sports Illustrated, March 20, 2018
- ↑ "AAF operations suspended, future of Alliance in doubt with two weeks left in inaugural regular season". CBS Sports (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ April 9, 2019.
- ↑ "Vince McMahon sells $100 million of WWE stock as XFL reboot plan continues". ProFootballTalk (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). NBC Sports. December 21, 2017. สืบค้นเมื่อ January 27, 2018.
- ↑ 22.0 22.1 "411MANIA". XFL CEO Recalls First Meeting With Vince McMahon, Says XFL Won't Compete With NFL.
- ↑ 23.0 23.1 23.2 23.3 "Vince McMahon: XFL to return in 2020 without gimmicks". ESPN. สืบค้นเมื่อ January 25, 2018.
- ↑ "Vince McMahon expects to spend $500 million on XFL". ESPN. June 29, 2018.
- ↑ "Form 8-K". Securities and Exchange Commission. March 27, 2019. สืบค้นเมื่อ March 28, 2019.
- ↑ "Oliver Luck leaves XFL door open for John Manziel". Pro Football Talk. April 9, 2019. สืบค้นเมื่อ April 9, 2019.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อnoforwardlateral
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อsi2019profile
- ↑ Florio, Mike (May 7, 2019). "XFL may not test for marijuana". Profootballtalk.com. สืบค้นเมื่อ May 7, 2019.
- ↑ We've got a need for speed. XFL official Facebook page (December 21, 2018). Retrieved January 3, 2019.
- ↑ "274: Oliver Luck, XFL Commissioner". ART19. สืบค้นเมื่อ April 12, 2019.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อdoesntjustwant
- ↑ Seifert, Kevin (March 9, 2020). "What have we learned about the XFL? Six midseason takeaways". ESPN. สืบค้นเมื่อ March 9, 2020.
- ↑ "CFL pass interference replay hasn't been a problem". Profootballtalk.com. March 28, 2019. สืบค้นเมื่อ March 28, 2019.
- ↑ "WWE's Vince McMahon looks to start professional football league". ESPN. สืบค้นเมื่อ January 25, 2018.
- ↑ "Oliver Luck named commissioner and CEO of XFL". June 5, 2018. สืบค้นเมื่อ June 5, 2018.
- ↑ "Former Bills GM Whaley hired as XFL senior VP". WIVB-TV. Nexstar Media Group. November 8, 2018. สืบค้นเมื่อ November 8, 2018.
- ↑ "Jeffrey Pollack Named XFL President & COO". XFL.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 23, 2019. สืบค้นเมื่อ January 22, 2019.
- ↑ XFL. "Official XFL Announcement with Vince McMahon" – โดยทาง YouTube.
- ↑ "Oliver Luck Q&A: On the XFL, changing football and Houston - HoustonChronicle.com". www.houstonchronicle.com. June 6, 2018.
- ↑ Baysinger, Tim (December 5, 2018). "LA Among the 8 Cities to Launch Vince McMahon's New XFL League". www.thewrap.com. สืบค้นเมื่อ December 6, 2018.
- ↑ "XFL Schedule". ESPN. February 9, 2020. สืบค้นเมื่อ February 15, 2020.
- ↑ "Bob Stoops will coach the Dallas XFL team". WFAA. February 6, 2019. สืบค้นเมื่อ February 6, 2019.
- ↑ McClain, John (May 13, 2019). "June Jones to coach Houston's XFL team". Houston Chronicle. สืบค้นเมื่อ May 13, 2019.
- ↑ Konuwa, Alfred. "WWE's Vince McMahon, Commissioner Oliver Luck Officially Announce 8 XFL Cities". Forbes (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ April 9, 2019.
- ↑ "What is the AAF? Notable players, coaches, teams, schedule for new Alliance of American Football league". CBS Sports (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ April 9, 2019.
- ↑ Nocera, Joe (January 15, 2016). "In Losing the Rams, St. Louis Wins". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ April 9, 2019.
- ↑ Danner, Patrick (May 23, 2019). "XFL wants to score bankrupt football league's assets stored in San Antonio warehouse". San Antonio Express-News. สืบค้นเมื่อ May 24, 2019.
- ↑ Danner, Patrick (July 3, 2019). "Bankrupt football league's gear sold at San Antonio court auction". San Antonio Express-News. สืบค้นเมื่อ July 11, 2019.
- ↑ Kaplan, Daniel (April 8, 2019). "XFL rejected merger with AAF, takes lessons from failed league". www.sportsbusinessdaily.com. Sports Business Journal. สืบค้นเมื่อ February 12, 2020.
In mid-December 2018, Charlie Ebersol and his nascent Alliance of American Football was two months away from the kickoff of its inaugural season — and it was already running out of money. Ebersol had secured limited funding from venture capital firms when he unveiled the league nine months earlier, but the AAF was on life support. So Ebersol approached WWE chairman and XFL kingpin Vince McMahon about a merger, a key source said. McMahon, who is relaunching the XFL next year, turned him down, the source said. The XFL declined to comment.
- ↑ "XFL reveals names, logos for its eight teams". ESPN. August 21, 2019.
- ↑ "XFL uniforms ranked: Will the L.A. Wildcats be the best dressed team in the league?". Los Angeles Times. December 4, 2019.
- ↑ "XFL draft: What we learned about the Tampa Bay Vipers". Tampa Bay Times.
- ↑ "XFL Brings On Gatorade, A-B InBev As Sponsors Ahead Of Launch". www.sportsbusinessdaily.com.
- ↑ Steinberg, Brian (February 18, 2020). "XFL, Bud Light Work To Shake Up Football Advertising". Variety. สืบค้นเมื่อ March 1, 2020.
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อlower
- ↑ 57.0 57.1 Millitzer, Joe (August 3, 2020). "XFL purchased by a group including Dwayne 'The Rock' Johnson". Fox 2 Now. สืบค้นเมื่อ August 3, 2020.
- ↑ "XFL 2020: Coronavirus forces start-up league to suspend play, but players can sign with NFL teams before FA". CBS Sports (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ March 13, 2020.
- ↑ Vrentas, Jenny (March 14, 2020). "A Seattle Dragons XFL Player Has Tested Positive for Coronavirus". Sports Illustrated. สืบค้นเมื่อ April 16, 2020.
- ↑ Florio, Mike (March 13, 2020). "XFL will release to NFL or CFL players with a credible contractual offer". Profootballtalk.com. สืบค้นเมื่อ March 14, 2020.
- ↑ 61.0 61.1 Miketniac, Chuck (April 13, 2020). "SOURCES: XFL called about relocating team to San Antonio days before suspending operations". WOAI-TV. สืบค้นเมื่อ April 18, 2020.
- ↑ Fischer, Ben (April 17, 2020). "Last Call for the XFL". Sports Business Journal. สืบค้นเมื่อ April 18, 2020.
- ↑ "XFL Files for Bankruptcy, Lost '10s of Millions' Due to COVID-19".
- ↑ Williams, Charean (May 13, 2020). "Vince McMahon lists reasons for Oliver Luck's firing from XFL in court filing". Profootballtalk.com. สืบค้นเมื่อ May 13, 2020.
- ↑ Florio, Mike (April 21, 2020). "Oliver Luck sues Vince McMahon". Pro Football Talk. NBC Sports. สืบค้นเมื่อ April 21, 2020.
- ↑ Franklin, Tom (May 20, 2020). "REPORT: XFL asks St. Louis about possibly reinstating lease agreement". KMOX. สืบค้นเมื่อ May 21, 2020.
- ↑ 67.0 67.1 Willeke, Becky (May 20, 2020). "Is the XFL coming back? League looking at reinstating St. Louis Dome lease". KTVI. สืบค้นเมื่อ May 21, 2020.
- ↑ Seifert, Kevin (May 26, 2020). "Vince McMahon says in court filing that he won't try to buy back XFL". ESPN. สืบค้นเมื่อ July 29, 2020.
- ↑ Rachuk, Stephan (May 27, 2020). "Recent Court Filing Reveal Key XFL Sale Dates". XFL Newsroom. สืบค้นเมื่อ May 27, 2020.
- ↑ Cadeaux, Ethan (July 28, 2020). "Report: ESPN and FOX noncommittal about future involvement with XFL". NBC Sports. สืบค้นเมื่อ July 28, 2020.
- ↑ 71.0 71.1 Perry, Mark (July 1, 2020). "ESPN Open To Working With New XFL Ownership, But Not Part Of XFL Assets". XFL News Hub. สืบค้นเมื่อ July 24, 2020.
- ↑ 72.0 72.1 Perry, Mark (July 23, 2020). "FOX Wants To Work With The XFL 3.0, With A Modified Agreement". XFL News Hub. สืบค้นเมื่อ July 24, 2020.
- ↑ 73.0 73.1 Florio, Mike (July 26, 2020). "As XFL sale approaches, ABC/ESPN and FOX seek revised TV deals". NBC Sports. สืบค้นเมื่อ July 28, 2020.
- ↑ 74.0 74.1 Hart, Torrey (July 28, 2020). "Without McMahon at Helm, ESPN Reportedly Wants Out of XFL Deal". Front Office Sports. สืบค้นเมื่อ July 29, 2020.
- ↑ Seifert, Kevin (August 3, 2020). "Dwayne 'The Rock' Johnson, investor group agree to buy XFL for $15M". ESPN. สืบค้นเมื่อ August 3, 2020.
- ↑ "Gagnier, Principal Comms. Work RedBird's XFL Deal".
- ↑ "THE ROCK XFL DEAL HAS CLOSED... I've Got The Keys Now". TMZ Sports. August 21, 2020. สืบค้นเมื่อ August 22, 2020.
- ↑ "XFL Announces Return to the Field in 2022". www.xfl.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ October 3, 2020.
- ↑ Amore, Samson (October 14, 2020). "The Rock Supports XFL Players Kneeling During the National Anthem (Video)". TheWrap.com. สืบค้นเมื่อ October 14, 2020.
- ↑ "CFL TO EXPLORE OPPORTUNITIES FOR ALIGNMENT WITH XFL OWNERS DANY GARCIA, DWAYNE JOHNSON, AND REDBIRD CAPITAL". XFL. สืบค้นเมื่อ March 11, 2021.
- ↑ Middleton, Marc (March 10, 2021). "XFL and CFL Enter Into Talks, 2022 Relaunch Season Likely To Be Delayed". WrestlingHeadlines.com. สืบค้นเมื่อ March 11, 2021.
- ↑ Seifert, Kevin (July 7, 2021). "XFL planning 2023 return after talks on partnership with CFL tabled". ESPN (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 7, 2021. สืบค้นเมื่อ September 27, 2021.
The XFL announced on Wednesday that it is planning to relaunch in 2023 after talks with the Canadian Football League about collaboration between the two leagues were tabled.
- ↑ Mitchell, Mike. "Breaking News: Jeffrey Pollack Departs The XFL As President And CEO" (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ December 26, 2021.
- ↑ Seifert, Kevin. "XFL hires former Buffalo Bills CEO Russ Brandon as league president". ESPN. ESPN. สืบค้นเมื่อ November 8, 2021.
- ↑ "XFL Announces Key Football Operations Hires". www.xfl.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ December 26, 2021.
- ↑ Miller, Corey (January 4, 2022). "Dwayne 'The Rock' Johnson says XFL training camps will kick off on Jan. 4, 2023". ksdk.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ January 12, 2022.
- ↑ "XFL kickoff set for February 18, 2023". 3DownNation (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). December 2, 2021. สืบค้นเมื่อ December 26, 2021.
- ↑ Perry, Mark (January 3, 2022). "XFL Chairwoman Dany Garcia Talks 2023 XFL Training Camp". xflnewshub.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ January 4, 2022.
- ↑ 89.0 89.1 PHILLIPS, MICHAEL. "Virginia State football coach Reggie Barlow leaving to coach in the XFL". Richmond Times-Dispatch (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ March 12, 2022.
- ↑ "Reggie Barlow Accepts Head Coach Position With XFL". Virginia State University Athletics (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ March 21, 2022.
- ↑ Mitchell, Mike [@bymikemitchell] (April 7, 2022). "#ICYMI My article from yesterday. Although not yet official or confirmed by @XFL2023 The three new #XFL cities that have been mentioned to me recently by sources close to the league are San Antonio, Orlando and Las Vegas. Goodbye Tampa, LA and NY" (ทวีต) (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ April 7, 2022 – โดยทาง ทวิตเตอร์.
- ↑ Mitchell, Mike (April 6, 2022). "XFL 2023: The Pitfalls Of Abandoning What Made The 2020 League Great". xflnewshub.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ April 7, 2022.
- ↑ Mitchell, Mike [@bymikemitchell] (April 7, 2022). "The situation is fluid. But some of the names that I've heard as "potential" head coaches in @XFL2023 to go along with Reggie Barlow and Terrell Buckley are: Bob Stoops, Wade Phillips, Rod Woodson, Hines Ward and Anthony Becht. Jon Kitna and Marc Trestman are also candidates" (ทวีต) (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ April 9, 2022 – โดยทาง ทวิตเตอร์.
- ↑ "XFL Unveils New Brand Identity and Vision: Tomorrow's League Starts Today". XFL (ภาษาอังกฤษ). April 6, 2022.
- ↑ Chavkin, Daniel (April 8, 2022). "Legal Notice Issued Against XFL After Being Called Out for Similar Branding". Sports Illustrated (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ April 30, 2022.
- ↑ Seifert, Kevin (April 13, 2022). "Wade Phillips, Jim Haslett, Bob Stoops among eight XFL coaching hires". ESPN (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ April 13, 2022.
- ↑ "XFL ANNOUNCES EXCLUSIVE MULTI-YEAR BROADCAST AGREEMENT WITH THE WALT DISNEY COMPANY AND ESPN". www.xfl.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ May 17, 2022.
- ↑ Miller, Corey; Cusumano, Frank (May 17, 2022). "Dome at America's Center sets aside dates for possible BattleHawks return". ksdk.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ May 18, 2022.
- ↑ Mark Berman [@MarkBermanFox26] (May 18, 2022). "Source: The University of Houston (@UHouston) and TDECU Stadium will host games in the XFL when the league begins play in 2023. @XFL2023 @UHCougars" (ทวีต). สืบค้นเมื่อ May 18, 2022 – โดยทาง ทวิตเตอร์.
- ↑ Seifert, Kevin (June 9, 2022). "Longtime NFL defensive coordinator Gregg Williams heads XFL's first batch of assistant coach hires". ESPN. สืบค้นเมื่อ June 21, 2022.
- ↑ Seifert, Kevin (July 14, 2022). "Everything we know about the XFL as its player showcases ramp up". ESPN. สืบค้นเมื่อ July 16, 2022.
- ↑ "XFL UNVEILS TEAM MARKETS AND VENUES: ARLINGTON, HOUSTON, ORLANDO, LAS VEGAS, SAN ANTONIO, SEATTLE, ST. LOUIS, WASHINGTON D.C." www.xfl.com (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ July 28, 2022.
- ↑ "XFL Seeking New Equity Investors, Retains PJT Partners For Search". sportico.com (ภาษาอังกฤษ). 2022-08-08. สืบค้นเมื่อ 2022-08-08.
- ↑ Williams, Madison. "Report: XFL Assigns Coaches to Franchises for 2023 Season". Sports Illustrated. สืบค้นเมื่อ June 8, 2022.
- ↑ Perry, Mark. "XFL Team Names Leaked Online, Some Old, Some New, Some Surprising Changes". xflnewshub.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2023-02-16.
อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref>
สำหรับกลุ่มชื่อ "lower-alpha" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="lower-alpha"/>
ที่สอดคล้องกัน