ข้ามไปเนื้อหา

จิญจมาณวิกา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จิญจมาณวิกา
จิญจมาณวิกาขณะกล่าวให้ร้ายพระพุทธเจ้าต่อหน้าธารกำนัล
ส่วนบุคคล
มรณภาพ
ศาสนาเดียรถีย์

จิญจมาณวิกา หรือโดยย่อว่า จิญจา เป็นสตรีที่เชื่อว่ามีชีวิตอยู่ในพุทธกาล โดยในพระไตรปิฎกกล่าวว่านางได้ให้ร้ายพระโคตมพุทธเจ้า ต่อหน้าคนจำนวนมากว่า ทำให้นางตั้งครรภ์ ด้วยความที่นางมีความฉลาดในมารยาของหญิง นับถือศรัทธาลัทธิเดียรถีย์ มีเจตนาเพื่อทำลายพระพุทธเจ้าจึงเดินเข้าออกวัดเชตวันอยู่เสมอ ทำทีเหมือนอยู่ในพระเชตวัน แต่แท้จริงแล้วนางอยู่ในวัดเดียรถีย์ใกล้เคียง โดยกาลล่วงไป 8–9 เดือน ผูกไม้กลมไว้ที่ท้องห่มผ้าทับข้างบน ให้ทุบหลังมือและเท้าด้วยไม้คางโค แสดงอาการบวมขึ้น มีอินทรีย์บอบช้ายอมตนกล่าวตู่พระพุทธเจ้าในท่ามกลางหมู่ชน ภายหลังนางจึงถูกแผ่นดินสูบ[1]

ดังมีในพุทธชัยมงคลคาถาปรากฏเป็นหลักฐานในบทสวด "พาหุง" บทที่ 5 ความว่า

กตฺวาน กฏฺฐมุทรํ อิว คพฺภินียา จิญฺจาย ทุฏฺฐวจนํ ชนกายมชฺเฌ สนฺเตน โสมวิธินา ชิตวา มุนินฺโท ตนฺเตชสา ภวตุ เต ชยมงฺคลานิ

แปลว่า "นางจิญจมาณวิกาใช้ไม้มีสัณฐานกลมใส่ที่ท้อง ทำอาการประหนึ่งว่ามีครรภ์ เพื่อกล่าวร้ายพระพุทธเจ้า พระจอมมุนีก็เอาชนะได้ด้วยวิธีสงบระงับพระทัยในท่ามกลางหมู่คน ด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา"

ด้วยผลกรรมที่ใส่ร้ายพระศาสดา เมื่อออกจากวัดพระเชตวัน นางจึงถูกธรณีสูบลงอเวจีมหานรก สถานที่ที่นางถูกธรณีสูบอยู่ที่สระโบกขรณี ติดกับสถานที่ที่พระเทวทัตถูกธรณีสูบ ดังคำในจิญจมาณวิกาวัตถุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลผู้ล่วงละเมิดธรรมอย่างหนึ่ง ผู้มักกล่าวเท็จ ปฏิเสธปรโลก จะไม่ทำบาปไม่มี[2]

ข้อมูลที่ปรากฏในอรรรถกถา

[แก้]

หลักฐานในคัมภีร์อรรถกถาธรรมบทมีว่า

พระพุทธเจ้าขณะประทับที่เชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี เผยแผ่พระพุทธศาสนาจนเป็นที่ศรัทธาแก่มหาชนอย่างมาก ทำให้เกิดลาภสักการะในพระพุทธศาสนาอย่างมาก นักบวชในศาสนาอื่น ๆ ก็ได้รับผลกระทบเสื่อมลาภ ผู้คนนับถือน้อยลง เกิดความอิจฉา และคิดจะกำจัดพระพุทธเจ้าเสีย จึงคิดอุบาย โดยส่งสาวงามชื่อว่า "จิญจมาณวิกา" ให้ไปใช้กลอุบายตามที่พวกตนวางไว้[3]

นางจิญจมาณวิกาทำทีเป็นศรัทธาในพุทธศาสนา จึงไปยังวัดพระเชตุวันมหาวิหาร ร่วมฟังธรรมพร้อมกับคนอื่น ๆ แต่พอถึงเวลากลับ ไม่กลับ ทำทีเดินลับหายไปยังที่ ๆ พระพุทธเจ้าประทับแล้วแอบออกไปทางอื่น พอรุ่งเช้านางมาวัดแต่เช้ามืดแล้วไปแอบซุ่มบริเวณที่ประทับ พอผู้คนมาฟังการแสดงธรรมนางก็จะแกล้งเดินออกไปเป็นกลลวงให้ใคร ๆ เห็น และเข้าใจว่านางค้างคืนที่วัด[4]

ผ่านไป 3 เดือน นางได้นำผ้ามาพันผูกท้องให้นูนแล้วนุ่งผ้าปิดทับเอาไว้ให้แลดูคล้ายตั้ง ครรภ์อ่อน ๆ พอถึงเดือนที่ 8 นางก็นำท่อนไม้มาพันผ้าผูกให้แลดูเหมือนตั้งครรภ์แก่ใกล้คลอด

วันหนึ่งขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังแสดงธรรม นางจิญจมาณวิกา ก็ทำทีเป็นหญิงท้องแก่เดินอุ้ยอ้ายเข้าไปยืนตรงหน้าที่ประทับพร้อมกับกล่าว เสียงดังให้ทุกคนได้ยิน

"ท่านสมณะ ท่านจะมาเสแสร้งนั่งแสดงธรรมจอมปลอมหลอกลวงผู้คนไปไย ด้วยเวลานี้ท้องฉันนั้นได้โตใหญ่จนยากจะปกปิดความลับระหว่างเราทั้งสองได้อีกต่อไปแล้ว ท่านจงหันมาไยดีในตัวฉันซึ่งเป็นภรรยา และบุตรในครรภ์ฉัน ซึ่งเป็นลูกของท่านจะดีกว่า[5]

พระพุทธองค์ทรงหยุดแสดงธรรมและกล่าวกับนางว่า

“ดูก่อนน้องหญิง เรื่องนี้เจ้ากับเราสองคนเท่านั้นรู้กันว่าจริงหรือไม่จริงตามคำของนาง”[6] จิญจมาณวิกาจึงตอบว่า “จริงทีเดียว เพราะการที่ข้าพเจ้ามีครรภ์ขึ้นนี้ มีแต่ท่านกับข้าพเจ้าเท่านั้นที่รู้กัน”[7]

ผู้คนที่นั่งฟังธรรมได้ยิน นางจิญจมาณวิกา พูดก็ตกตะลึง หลายคนไม่เชื่อแต่บางคนก็เริ่มสงสัยเพราะเคยเห็นนางเดินเข้าออกที่ประทับจึง พากันซุบซิบแต่พระพุทธองค์ทรงนิ่งเฉย ชาวบ้านจึงกล่าวเตือนสติจิญจมาณวิกาว่า

"จิญจมาณวิกาเอ๋ย การกล่าววาจาโป้ปดนั้นเป็นการผิดศีล แต่วาจาที่กล่าวเท็จใส่ร้ายต่อผู้ทรงศีลนั้น ผิดยิ่งกว่ามากมายนัก นางจงหยุดเถิด"

แต่แทนที่จิญจมาณวิกาจะรู้สึกผิด กลับจาบจ้วงดุด่าใส่ร้ายพระพุทธองค์ต่อ หาว่าพระพุทธองค์ทรงปัดและบ่ายเบี่ยงไม่รับผิดชอบต่อบุตรในครรภ์ เทพเทวดารู้เห็นการกระทำอันเป็นบาปของจิญจมาณวิกา จึงแปลงกายเป็นหนู ปีนไต่ไปบนตัวนาง และกัดสายคาดผ้าที่ผูกท้องจนหลุดร่วงลงมากองที่พื้น[8]

ความจริงจึงปรากฏแก่คนทั้งหลายว่า นางมิได้ตั้งครรภ์ นางได้กล่าวตู่หาความใส่ร้ายพระพุทธองค์ คนทั้งหลายพากันลุกฮือขึ้นไล่ทุบตี พอออกไปพ้นประตูพระเชตวันมหาวิหาร นางก็ถูกแผ่นดินสูบ

ผลกรรมจากการถูกใส่ร้าย

[แก้]

พระพุทธเจ้าตรัสว่าเหตุ มาสู่ผลที่ถูกกล่าวตู่[9] เพราะเคยไปกล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า “สุรภี” “ในชาติอื่น ๆ ในปางก่อน เราเกิดเป็นนักเลงชื่อว่าปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้ามีนามว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายใคร”[10] ด้วยผลของการกระทำนั้น ทำให้ตกนรก เสวยทุกขเวทนาหลายพันปี[11] กล่าวตู่พระเถระนามนันทะ และทำให้ตกนรกถึง 100,000 ปี[12] และเศษของการกระทำ ทำให้ต้องได้รับการกล่าวตู่จากนางสุนทรี[13] และนางจิญจมาณวิกา[14] หรือข้อมูลในพุทธาปทานชื่อปุพพกัมมปิโลติพระพุทธเจ้า ตรัสบุพกรรมของตนไว้ว่า เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่านันทะ ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรกเป็นเวลานาน เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในนรก เป็นเวลานานถึง 100,000 ปี ครั้นได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้รับการกล่าวตู่มาก ด้วยผลกรรมที่เหลืออยู่นั้น นางจิญจมาณวิกาจึงมากล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริงท่ามกลางหมู่ชน[15]

อ้างอิง

[แก้]
  1. พระศรีคัมภีรญาณ,รศ.ดร.และคณะ. (2557). พจนานุกรมพระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย = Thai Tipitaka Dictionary Mahachulalongkornrajavidyalaya University.กองวิชาการ สานักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. หน้า 1009
  2. (ขุ.ธ.(ไทย) ๒๕/๑๗๖/๘๘),
  3. [ขุ.ธ.อ. หรือขุททกนิกาย ธรรมบท อรรถกถา (บาลี) เล่มที่ ๑ ข้อ ๑๔๕ หน้า ๑๓๘-๙/จิญฺจมาณวิกาวตฺถุ]
  4. [ขุ.ธ.อ. หรือขุททกนิกาย ธรรมบท อรรถกถา (บาลี) เล่ม ๑/ข้อ ๑๔๕/หน้า ๑๓๙]
  5. [ขุ.ธ.อ. หรือขุททกนิกาย ธรรมบท อรรถกถา (บาลี) เล่ม ๑/ข้อ ๑๔๕/หน้า ๑๓๙]
  6. [ขุ.ธ.อ. หรือขุททกนิกาย ธรรมบท อรรถกถา (บาลี) เล่ม ๑/ข้อ ๑๔๕/หน้า ๑๓๙]
  7. [ขุ.ธ.อ. หรือขุททกนิกาย ธรรมบท อรรถกถา (บาลี) เล่ม ๑/ข้อ ๑๔๕/หน้า ๑๓๙]
  8. [ขุ.ธ.อ. หรือขุททกนิกาย ธรรมบท อรรถกถา (บาลี) เล่ม ๑/ข้อ ๑๔๕/หน้า ๑๓๙-๑๔๐ (จิญฺจมาณวิกาวตฺถุ)]
  9. [ขุ.อป.หรือ ขุทกนิกาย อปทาน (ไทย) เล่ม ๓๒/ข้อ ๖๗-๗๒/หน้า ๕๗๕]
  10. [ขุ.อป. หรือ ขุทกนิกาย อปทาน (ไทย) ๓๒/๖๗/๕๗๕]
  11. [ขุ.อป. หรือ ขุทกนิกาย อปทาน (ไทย) เล่ม ๓๒/ข้อ ๖๘/หน้า ๕๗๕]
  12. [ขุ.อป. หรือ ขุทกนิกาย อปทาน (ไทย) เล่ม ๓๒/ข้อ ๗๑/หน้า ๕๗๕]
  13. [ขุ.อป. หรือ ขุทกนิกาย อปทาน (ไทย) เล่ม ๓๒/ข้อ ๖๙/หน้า ๕๗๕]
  14. ขุ.อป. หรือ ขุทกนิกาย อปทาน (ไทย) เล่ม ๓๒/ข้อ ๗๒/หน้า ๕๗๕]
  15. (ขุ.อป.(ไทย) ๓๒/๗๒/๕๗๕)