Educational Foundations and Development

Khruba monks (venerable monks) have played a routinely meaningful role in local Buddhist communities of northern Thai culture for generations. While today's khruba monks continue to represent themselves as followers of a localized Buddhist tradition, in fact over the past three decades their practice has undergone a period of flourishing that involves heterogeneous beliefs and practices in modern Buddhist society of Thailand. In order to response to social and cultural transformation and to fit with different expectations of people, khruba monks construct khruba's charisma through different practices besides strictness in dhamma and construction activities that used to explain sources of khruba's charisma in Lan Na Buddhist history. Additionally, they relied upon different sources such as magic-sacred objects, modern communication, and social media. The re-enchantment of khruba monks is very interesting because it implies that the term " khruba " is still meaningful and plays a crucial role in modern Thai Buddhist society. Nevertheless, understanding about khruba's charisma as well as their dhamma practices is so limited and theoretical approaches employed by previous scholars; millennialism, religious revivalism, social memory, are inadequate to catch up with the current phenomenon. We need to look at the flourishing of khruba monks by situating them under the context of modern Thai Buddhist society which is characterized by prosperity-oriented practices, market economy, and crises of modernity. This article aims to explore how modern khruba monks construct their charisma and their dhamma practices which have been developed and transformed in order to serve different expectations by heterogeneous people including Thai middle class in which wealth, health, and fortune are more important than salvation. In this article, three modern khruba monks in northern provinces of Thailand have been examined through in-depth interviews​ and participatory observation. This article employs concepts of charisma, popular Buddhism, the crisis of modernity, as well as qualitative approach.

This article shows that the network of disciples and believers of Khruba Khao Pi is still vibrant and expanding in spite of the latter’s demise since 39 years ago. Like other recent religious networks, connections have been made with diverse individuals and groups by human and non-human agencies, resulting in the expansion of the network. This article describes the network of believers of Khruba Khao Pi which comprises of disciples and believers who have met Khruba Khao Pi, and new believers who have known and experienced Khruba Khao Pi’s sacredness via persons and sacred objects. This network of disciples and believers is visible in Khruba Khao Pi’s Robe Changing Ceremony which is annually held on the 3rd of March, at Wat Phra Buddha Bath Pha Nam, Li District of Lamphun. This article employs a concept of Actor Network Theory (ANT) to analyze the role of human agencies in connecting old disciples and believers who live scattered​ elsewhere and expanding new connections. As for non-human agencies, Khruba Khao Pi’s body, his robe which is taken off every year, and his personified sacred objects also play crucial roles in maintaining and expanding the network of his disciples and believers.

“ครูบา” คือศูนย์กลางของขบวนการทางศาสนาประเภทหนึ่งในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย เรียกว่า “ขบวนการครูบา” และตัวของพระครูบาเองคือจุดเน้นหลักของความสนใจในการศึกษา “ครูบา” ในขบวนการครูบาที่โด่งดังและเป็นที่สนใจของนักวิชาการ เช่น ครูบาศรีวิชัย นักวิชาการพยายามวิเคราะห์ในหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบของการเป็นครูบาหรือ
ตนบุญไว้ คำถามต่อปรากฏการณ์เหล่านี้ เช่น ขบวนการครูบาเกิดขึ้นได้ด้วยองค์ประกอบอย่างไร หรือองค์ประธานต้องประกอบด้วยอะไรบ้างถึงจะได้รับการยกย่องว่าเป็นครูบาหรือตนบุญ รวมถึงคำถามด้านบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของพื้นที่ที่ทำให้เกิดขบวนการครูบาขึ้นในแต่ละช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ เช่น งานของ ขวัญชีวัน บัวแดง (Kwanchewan Buadaeng) ในปี ค.ศ. 2002 (พ.ศ. 2545) จากการศึกษาปฏิบัติการของครูบาศรีวิชัย ครูบาขาวปี และครูบาหล้า โดยเสนอว่า ขบวนการครูบาเกิดขึ้นจากสามองค์ประกอบหลักได้แก่ 1) ขบวนการนำโดยครูบาที่ได้รับการนับถือในฐานะตนบุญหรือพระโพธิสัตว์ ซึ่งหมายถึงผู้ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ซึ่งความจริงแล้วคำว่า “ครูบา” คือคำที่ใช้เรียกพระที่มีผู้เคารพนับถือในธรรมเนียมสงฆ์แบบล้านนา และความเป็น “ตนบุญ” ที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อว่าเป็นผู้มีพลังอำนาจวิเศษต่างๆ 2) ขบวนการครูบาเกิดจากการเดินทางไปก่อสร้างหรือบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนาสถานตามสถานที่ต่างๆ มากมายทั่วทั้งภาคเหนือ ด้วยบารมีของความเป็นตนบุญทำให้มีผู้ติดตามไปเป็นแรงงานและเป็นผู้ช่วยเพื่อสร้างบุญกุศลในการก่อสร้างและบริจาคปัจจัยต่างๆ ในขณะเดียวกันความสำเร็จในโครงการต่างๆ ก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของครูบาขจรขจายไปทั่วในฐานะตนบุญและ 3) การมีผู้ติดตามจำนวนมากในหมู่กลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ และกลุ่มคนเมือง (คนยวน) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการก่อสร้างต่างๆ สำเร็จลุล่วง และถูกพูดถึงอย่างมากในฐานะที่เป็นหลักฐานของการมีบารมีของท่าน (โดยเฉพาะในภายหลัง) ซึ่งการเดินทางไปก่อสร้างหรือบูรณปฏิสังขรณ์ศาสนสถานในสถานที่ต่างๆ คือกิจกรรมหลักที่แยกให้เห็นอย่างชัดเจนระหว่างขบวนการครูบาและขบวนการศาสนาและการเมืองประเภทอื่นๆ (เช่น ขบวนการผู้มีบุญ-ผีบุญในภาคอีสาน)
ในขณะที่งานเขียนอีกหลายชิ้นมีความพยายามจะนำเสนอองค์ประกอบสำคัญอื่นๆ ของการเป็นครูบา เช่น การบำเพ็ญเพียรตามแนวทางพุทธศาสนา เช่น การปฏิบัติสมถกรรมฐาน การร่ำเรียนวิชาคาถาอาคม เวทมนต์ไสยศาสตร์ การละเว้นอาหารจากเนื้อสัตว์ การออกธุดงค์ การสวมใส่เครื่องแต่งกายแบบสงฆ์ล้านนา รวมไปถึงการมีเรื่องเล่าตามขนบของการเกิดมาเป็นผู้มีบุญที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอัศจรรย์อภินิหาริย์ต่างๆ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในบทความนี้ ผู้เขียนได้สำรวจวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับครูบาทั้งจากงานวิชาการและงานด้านชีวประวัติ ในประเด็นเรื่องความเชื่อและแนวทางการปฏิบัติที่ปรากฏในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อแสดงให้เห็นถึงแนวทางการปฏิบัติของครูบาแต่ละรูปที่มีทั้งความเหมือนและความต่าง ซึ่งในท้ายที่สุดจะเห็นได้ว่าแม้จะมีงานศึกษาเรื่องครูบาอยู่มากมาย แต่คำอธิบายบางประการกลับนำไปสู่ข้อถกเถียงใหม่มากกว่าจะนำไปสู่ข้อสรุป และผู้เขียนเห็นว่าบางคำถามหรือข้อถกเถียงมีความสำคัญและควรได้รับการศึกษาอย่างละเอียด เพื่อจะได้เป็นฐานสำหรับการคิดค้นคว้าต่อในประเด็นต่างๆ ของการศึกษาครูบาและขบวนการทางศาสนาในอนาคต

Having a large group of devotees, constituted as networks are one of the main characteristics, and is to testify, the charismatic leadership of modern khruba in the north of Thailand. Network implies communication or flows of information and objects, passed and shared through the linkages. I suggest here that the use of network concept is important to understand the relationships between people, between information and people, and between people and objects within khruba's religious networks. This paper aims to examine networks of modern khruba which are viewed as a critical part of the ongoing process to construct khruba charisma. I shall focus on roles of various agents, human and non-human like objects (sacred-magic) and stories of the sacredness of khruba as linkages of the networks. Networks of three modern khruba are investigated through in-depth interviews and participatory observation to represent the heterogeneity, fluidity of network in the modern Thai society where formal organization, specific teaching, common ideology or membership is no longer relevant. And this characteristic endorses the status of modern khruba as charismatic monks to the world, who can respond to the globalized world and capitalist desires. This article employs Castells's theory of network society, popular Buddhism, charisma as well as qualitative approach. Data were collected during 2015-2016 as part of my Ph.D. dissertation at Chiang Mai University, Thailand.

Khruba (venerable monks) have consistently played a meaningful role in local Buddhist communities of Northern Thai culture for generations. While today’s khruba continue to represent themselves as followers of Khruba Siwichai and Lan Na Buddhism, in fact over the past three decades they have flourished by adopting heterogeneous beliefs and practices in the context of declining influence of the sangha and popular Buddhism. In order to respond to social and cultural transformations and to fit in with different expectations of people, modern khruba construct charisma through different practices besides the obvious strictness in dhamma used to explain the source of khruba’s charisma in Lan Na Buddhist history. The ability to integrate local Buddhist traditions with the spirit of capitalism-consumerism and gain a large number of followers demonstrates that khruba is still a meaningful concept that plays a crucial role in modern Buddhist society, particularly in Thailand. By employing concepts of charisma, production of translocalities, and popular Buddhism and prosperity religion, it can be argued that khruba is steeped in local knowledge, yet the concept has never been linear and static. Modern khruba can be interpreted and consumed in many ways by diverse groups of people. This is also considered a key success of modern khruba and their proliferation during the past three decades in Thailand. Data were collected in 2015–16 through in-depth interviews and participatory observation as part of the author’s PhD dissertation at Chiang Mai University, Thailand.

ครูบามีความสาคัญในโลกพุทธศาสนาล้านนามาตั้งแต่อดีต ครูบากลับมา มีความสาคัญในโลกพุทธศาสนาของสังคมไทยอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงสามทศวรรษ ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การเฟื่องฟูของครูบาสมัยใหม่ในภาคเหนือและการขยายตัว ของกลุ่มผู้เชื่อถือศรัทธาในระดับนานาชาติ ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการหวนกลับไปยึดถือ จารีตพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม หรือเป็นความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์ แต่กลับสะท้อน การเปลี่ยนแปลงสาคัญที่เกิดขึ้นในสังคมพุทธร่วมสมัยทั้งในระดับภูมิภาค ระดับประเทศ และระดับโลก ครูบาสมัยใหม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและการปฏิบัติที่แตกต่างหลากหลาย ทั้งนี้ เพื่อปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม และตอบสนองต่อความคาดหวังที่หลากหลายของผู้คน ผู้เขียนได้ค้นคว้าทางเอกสารและข้อมูลภาคสนามระหว่าง 2557-2559 โดยบทความนี้เสนอว่า แนวคิด “ครูบา” (ความหมายและรูปแบบ) ไม่ได้เป็นสิ่งที่ถูกกาหนดไว้แล้วอย่างตายตัว แต่เป็นสิ่งที่ถูกปรับเปลี่ยน ประเมินคุณค่าใหม่และตีความใหม่อยู่ตลอดเวลา การกลับมาของครูบาเป็นการผลิตความเป็นล้านนาข้ามถิ่น ในบริบทโลกาภิวัตน์ การเติบโตของชนชั้นกลาง และการเฟื่องฟูของพุทธศาสนาแบบประชานิยมและศาสนาแห่งความมั่งคั่งร่ารวย นอกจากนี้ ผู้เขียนได้นาเสนอประเด็นบทบาทการเป็นผู้กระทาการของครูบาสมัยใหม่ในปฏิสัมพันธ์กับบริบทที่เฉพาะเจาะจงของปัจจุบัน การทาให้บารมีแบบครูบาสามารถถูกตีความและรับรู้ได้อย่างลื่นไหลโดยกลุ่มคน ที่หลากหลายเป็นปัจจัยสาคัญในการทาให้ครูบาสมัยใหม่ประสบความสาเร็จ มีชื่อเสียงกว้างไกลกว่าครูบาสมัยเก่าจนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นครูบาสาหรับผู้เชื่อถือศรัทธา ในระดับนานาชาติ

การมีกลุ่มผู้เชื่อถือศรัทธาขนาดใหญ่และก่อตัวเป็นเครือข่ายคือองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญในขบวนการครูบาในอดีต ในปัจจุบันก็เช่นกัน บารมีของครูบามีตัวแทนการเชื่อมต่อ (agency) ทั้งที่เป็นมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์ (เช่น วัตถุมงคลต่าง ๆ) ช่วยทำให้ชื่อเสียงขยายตัวพร้อม ๆ กับเครือข่ายที่กว้างขวาง บทความนี้ใช้แนวคิดหลักคือสังคมเครือข่าย (network society) ของมานูเอล คาสเทลส์ (Castells, 2010; Taylor, 2003) เพื่อทำความเข้าใจลักษณะสำคัญของเครือข่ายครูบาในบริบทสังคมพุทธร่วมสมัยและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับผู้คน ผู้คนกับข้อมูลข่าวสาร และผู้คนกับวัตถุในเครือข่าย บทความนี้มุ่งเน้นให้เห็นความสลับซับซ้อนของปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น มีการเน้นบทบาทของวัตถุมงคลที่มีศักยภาพเป็นตัวแทนที่สำคัญในการเชื่อมต่อผู้คนที่อยู่กระจัดกระจายในหลายพื้นที่ ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเครือข่ายเฉกเช่นตัวแทนที่เป็นมนุษย์ นอกจากนี้มีการเสนอภาพเครือข่ายครูบาสมัยใหม่ที่มีความยืดหยุ่น ลื่นไหล และไม่ต้องการศูนย์กลาง
การศึกษาใช้วิธีการเชิงคุณภาพ อันเป็นส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก สาขาวิชาสังคมศาสตร์ ประกอบด้วยการค้นคว้าเอกสารและการเก็บข้อมูลภาคสนาม (การสัมภาษณ์และการสังเกตอย่างมีส่วนร่วม) ที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ. 2557-2560 ในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศไทย กรณีศึกษาหลักคือครูบาจากสามพื้นที่ ได้แก่ ครูบาน้อย เตชะปัญโญ แห่งวัดศรีดอนมูล อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ครูบาดอน อัตถกาโม วัดพระพุทธบาทผาหนาม อ.ลี้ จ.ลำพูน และ ครูบาอริยชาติ อริยจิตโต แห่งวัดแสงแก้วโพธิญาณ อ.แม่สรวย จ.เชียงราย นอกจากนี้ยังอาศัยข้อมูลที่ปรากฏในสื่อต่าง ๆ ทั้งหนังสือ รายการโทรทัศน์ รายการวิทยุ เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย เช่น ยูทูป (YouTube) ไลน์ (Line) เฟสบุ๊ค (Facebook) และ ทวิตเตอร์ (Twitter)

This dissertation aims to investigate (1) the process of constructing the charisma of modern khruba, (2) the transformation in dhamma practices and religious activities of modern khruba, and (3) the role of networks in contemporary Thai society. Conducted through qualitative research, the dissertation posits that khruba should be reconceptualized as actors in the local Lan Na region who have demonstrated the articulation of the local Buddhist tradition and the globalized world. Khruba have consistently played a meaningful role in local Buddhist communities of northern Thai culture for generations. While today’s khruba continue to represent themselves as followers of Khruba Siwichai and Lan Na Buddhism, in fact, over the past three decades they have undergone a period of flourishing that involves integration of heterogeneous beliefs and practices. In order to respond to social and cultural transformation and to fit different expectations on the part of devotees, modern khruba have relied on different practices and activities besides the strictness in dhamma practices and the construction and renovation of religious monuments that were formerly used to explain sources of khruba’s charisma in Lan Na Buddhism. The charisma of Khruba has been redefined and re-interpreted to allow it to be perceived and consumed by diverse groups of people while their networks have expanded widely and become more complicated. These changes have brought modern khruba out of Lan Na cultural boundary to become sacred figures for global devotees. This dissertation has agued four major points: 1) Modern khruba have a dual identity which consists of both the continuation of and the departure from the khruba tradition and the Lan Na Buddhism idealized by Khruba Siwichai. 2) The khruba concept has never been linear and static, but ephemeral. Khruba’s charisma is, therefore, multifaceted because it is consumed, reconstructed, and redefined by modern khruba and diverse groups of followers in three main separable yet overlapping facets: prosperity ton bun, magic monk, and development monk. 3) Dhamma practices and religious activities have demonstrated the adaptability and flexibility of modern khruba for being khruba for global devotees. Moreover, these practices and activities shed light on the increasing importance of sacred-magic objects and prosperity rituals which rely heavily on a belief in supernatural powers of modern khruba. 4) Networks of modern khruba have become diverse, transnational, and transreligio-cultural. The networks are de-centered because connections can be formed in a flexible and fluid pattern through nodes which are located in many different locations around the world. Significantly, sacred-magic objects of khruba have been recognized as active agents in the ability to connect and form relationships between people and objects, as well as between people and people, the same as human agents. These agents have made khruba’s charisma and their networks more spread out.

This dissertation posits that khruba should be reconceptualized as actors in the local Lan Na region who have demonstrated the articulation of the khruba tradition and global culture. Khruba have undergone a period of flourishing during the past three decades under the context of modern and globalized society. In order to respond to this social and cultural transformation and to be in accord with diverse expectations, modern khruba have relied on different practices and activities along with the strict dhamma practices and construction and renovation of religious monuments that were formerly used to explain sources of their charisma in Lan Na Buddhism. Moreover, the proliferation of modern khruba implies that the term khruba is still meaningful and that it continues to play a crucial role in modern Thai society. The dissertation was conducted through the qualitative research method. This final chapter discusses the main research findings, critical debates, and recommendations for future studies.

The process how modern khruba create their charismatic status is an important aspect of understanding how modern khruba are considered to be endowed with supernatural power or an exceptional quality which could not be accessed by ordinary individuals. In other words, it is the process of differentiating themselves from other monks and the laity, or a distance-making process. This is a symbolic practice which then forms a pattern of relations among them. In this chapter, I shall investigate the process of making charismatic status of modern khruba, focusing on three major cases and discussing through four major areas: (1) the discourse of succession of the great khruba, Siwichai, (2) sacred biographies (ton bun narrative), (3) the construction of grandiose monasteries, and (4) religious practices and activities. I point out here that these are very crucial and have strong influence on people's perception of khruba's charismatic status. Additionally, these activities signify the continuation of the former-day khruba concept on the one hand, and new strategies to respond to the diverse expectations of people in modern society on the other.