ซาโปนิน
ซาโปนิน (อังกฤษ: saponin) เป็นสารกลุ่มไกลโคไซด์ที่มีสมบัติเป็นแอมฟิฟิล (amphiphile) สามารถละลายได้ทั้งในน้ำและไขมัน จะเกิดเป็นฟองเมื่อนำมาผสมกับสารละลายในน้ำ สารกลุ่มซาโปนินมักมีโครงสร้างเป็นไกลโคไซด์ชนิดไฮโดรฟิลิก (ละลายน้ำ) จับกับสารอนุพันธ์ไตรเทอร์พีนชนิดไลโพฟิลิก (ละลายในไขมัน)[1][2]
แหล่งที่พบ
[แก้]คำว่า "ซาโปนิน" มาจากชื่อสกุล Saponaria ซึ่งในอดีตใช้รากทำเป็นสบู่[2] และยังพบในพืชวงศ์เงาะ (Sapindaceae), วงศ์ก่วม (Aceraceae) และวงศ์ Hippocastanaceae นอกจากนี้ยังพบได้ทั่วไปในพืชหลายชนิด เช่น ถั่วเหลือง, ถั่วเขียว, ถั่วปากอ้า, ชะเอมเทศ, ผักโขม, มันมือเสือ, หน่อไม้ฝรั่ง, ชาและแอลแฟลฟา ซาโปนินสามารถพบได้ในรูปอื่น เช่น ไจพีโนไซด์ (gypenosides) ในเจี๋ยวกู่หลานและจินเซนโนไซด์ (ginsenosides) ในโสม[3] แต่เดิมเชื่อว่าซาโปนินพบได้เฉพาะในพืช แต่ภายหลังมีการพบในสัตว์ทะเลด้วย[1][4]
คุณสมบัติทางชีวภาพ
[แก้]ซาโปนินเป็นสารต้านจุลินทรีย์, สารต้านอนุมูลอิสระและยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลในลำไส้เล็ก หรือช่วยการดูดซึมกรดน้ำดี แต่มีความเป็นพิษของต่อแมลง หนอน หอยทากและปลา หากเข้าสู่ร่างกายมนุษย์จะทำให้เกิดการแตกตัวของเม็ดเลือดแดง ขณะปล่อยฮีโมโกลบินออกมา[5]
บทบาทในพืชและสัตว์
[แก้]ซาโปนินอาจเป็นสารยับยั้งการกินในศัตรูพืช[2][6] ซาโปนินในพืช เช่น ข้าวโอ๊ตและปวยเล้ง ช่วยเพิ่มการดูดซึมและการย่อยอาหารของสัตว์ อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลว่าซาโปนินเป็นพิษต่อสัตว์เลือดเย็นและแมลงในระดับความเข้มข้นจำเพาะ[6]
พฤกษศาสตร์พื้นบ้าน
[แก้]มีการใช้สารซาโปนินในการจับสัตว์น้ำมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์[7][8] ตัวอย่างเช่น ชนเผ่ากอนด์ (Gond) ในอนุทวีปอินเดียที่ใช้สารซาโปนินในการเบื่อปลา[9] และชนพื้นเมืองในแคลิฟอร์เนียที่ใช้หัวของพืชสกุล Chlorogalum หรือรากของพืชสกุล Yucca มาผสมกับน้ำจนเกิดเป็นฟองแล้วเทลงในแหล่งน้ำเพื่อเบื่อปลา[10] ถึงแม้ในบางพื้นที่จะออกกฎหมายห้าม แต่ในปัจจุบันชนพื้นเมืองในกายอานายังคงใช้วิธีนี้อยู่[11]
การใช้ประโยชน์
[แก้]เนื่องจากซาโปนินคุณสมบัติการลดแรงตึงผิวที่ไม่มีประจุ จึงนิยมใช้เป็นอิมัลซิไฟเออร์ สารซักฟอกและสารก่อฟอง นอกจากนี้ยังใช้เป็นสารกระตุ้นการเจริญเติบโตของพืชและฟื้นฟูสภาพดิน
ซาโปนินยังใช้ในอุตสาหกรรม เช่น เป็นสารต้านเชื้อราและยีสต์ ในสหรัฐอเมริกาใช้ซาโปนินเป็นสารก่อฟองในเครื่องดื่มคาร์บอเนต (น้ำอัดลม) ในญี่ปุ่นใช้ซาโปนินเป็นอิมัลซิไฟเออร์ในการเตรียมเครื่องดื่มที่ไม่ผสมแอลกอฮอล์และผักดอง ประเทศในสหภาพยุโรปใช้สารสกัดซาโปนินเป็นสารก่อฟองในสารละลายที่มีน้ำและเป็นสารแต่งกลิ่นในเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์[5]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 Hostettmann, K.; A. Marston (1995). Saponins. Cambridge: Cambridge University Press. p. 3ff. ISBN 0-521-32970-1. OCLC 29670810.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 "Saponins". Cornell University. 14 August 2008. สืบค้นเมื่อ 23 February 2009.
- ↑ "Phytochemical and Ethnobotanical Databases". Dr. Duke's Phytochemical and Ethnobotanical Databases. 18 กุมภาพันธ์ 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2013.
- ↑ Riguera, Ricardo (สิงหาคม 1997). "Isolating bioactive compounds from marine organisms". Journal of Marine Biotechnology. 5 (4): 187–193.
- ↑ 5.0 5.1 "IR 10 - ซาโปนิน" (PDF). สำนักหอสมุดและศูนย์สารสนเทศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2019. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2018.
- ↑ 6.0 6.1 Foerster, Hartmut (22 May 2006). "MetaCyc Pathway: saponin biosynthesis I". สืบค้นเมื่อ 23 February 2009.
- ↑ Jonathan G. Cannon; Robert A. Burton; Steven G. Wood; Noel L. Owen (2004), "Naturally Occurring Fish Poisons from Plants", J. Chem. Educ., 81 (10): 1457, doi:10.1021/ed081p1457
- ↑ C. E. Bradley, "Arrow and fish poison of the American southwest", Division of Biology, California Institute of Technology, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-09-15, สืบค้นเมื่อ 2015-10-27
- ↑ Murthy E N; Pattanaik, Chiranjibi; Reddy, C Sudhakar; Raju, V S (2010), Piscicidal plants used by Gond tribe of Kawal wildlife sanctuary, Andhra Pradesh, India, pp. 97–101
- ↑ Campbell, Paul (1999). Survival skills of native California. Gibbs Smith. p. 433. ISBN 978-0-87905-921-7.
- ↑ Tinde Van Andel, The diverse uses of fish-poison plants in Northwest Guyana, คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-09-15, สืบค้นเมื่อ 2015-10-27
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- "Saponin - MSDS". Science Lab. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-04-04. สืบค้นเมื่อ 2016-10-22.
- "Saponins - College of Agriculture and Life Sciences". Cornell University.