Papers by Thummachuk Prompuay, PhD
น่ารู้กับครูบ๊อบ, 2020
ละครขุนนางฝ่ายหน้า เล่นเรื่องสังข์ทองรับเสด็จนิวัติพระนคร พ.ศ. 2450 (ร.ศ. 126)
เอกสารประกอบการสอน
เอกสารประกอบการสอนรายวิชา ทฤษฎีนาฏยศาสตร์ โดย อาจารย์ ดร.ธรรมจักร พรหมพ้วย สาขาวิชานาฏกรรมไทย คณะ... more เอกสารประกอบการสอนรายวิชา ทฤษฎีนาฏยศาสตร์ โดย อาจารย์ ดร.ธรรมจักร พรหมพ้วย สาขาวิชานาฏกรรมไทย คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
Talks by Thummachuk Prompuay, PhD

โหมโรงกลางวัน, 2020
โหมโรงกลางวัน
โหมโรงมหรสพไทยที่แทบเลือนหายไปจากวัฒนธรรม
ธรรมจักร พรหมพ้วย
......................... more โหมโรงกลางวัน
โหมโรงมหรสพไทยที่แทบเลือนหายไปจากวัฒนธรรม
ธรรมจักร พรหมพ้วย
.....................................
สะดุดใจกับเนื้อหาหนึ่งของตนเองในระหว่างที่สอนหนังสือเกี่ยวกับ "ดนตรีประกอบการแสดง" โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือธรรมเนียมการบรรเลงปี่พาทย์ประกอบมหรสพไทย อันได้แก่ โขน ละคร หุ่น หนัง ว่าจะต้องมีการบรรเลงโหมโรงก่อนเริ่มการแสดงเสมอ ซึ่งก็ไปพ้องกับตำรานาฏยศาสตร์ของอินเดียในอัธยายที่ ๒ ว่าด้วยวิธีการโหมโรง (ปูรฺวรงฺควิธิะ) อันจำเป็นจะต้องจัดเครื่องดนตรี นักร้อง ให้เป็นไปตามลักษณะที่กำหนด ทั้งยังจะต้องกำหนดบทเพลง จังหวะ ทำนอง การขับร้อง เพื่อเป็นการสรรเสริญเทพเจ้า เพื่อก่อให้เกิดสวัสดิมงคลก่อนที่จะเริ่มการแสดง โดยกำหนดลำดับของเพลงที่แสดงความหมายโดยนัยหรือมีคำร้องอันเป็นการสรรเสริญบูชาหรือแนะนำเนื้อเรื่องก่อนการแสดง
แม้ไม่อาจยืนยันได้แน่ชัดว่า ลำดับเพลงในการโหมโรงมหรสพแบบไทย จะบ่งชี้ถึงความหมายโดยนัยอย่างชัดเจนตามคัมภีร์ต้นทางของอินเดียที่มีอายุกว่า ๒,๕๐๐ ปีนั้นหรือไม่ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการกำหนดชุดเพลงตามห้วงเวลาที่จะใช้งาน โดยแบ่งเป็นเพลงชุด โหมโรงเช้า โหมโรงกลางวัน และโหมโรงเย็น และอาจแบ่งหมวดย่อยลงไปเป็นชุดเพลงโหมโรงสำหรับพิธีกรรมและสำหรับมหรสพ มีการจัดเรียงเพลงหน้าพาทย์ต่อกันเป็นชุด เป็นแบบแผนที่ชัดเจน
โหมโรงสำหรับมหรสพ หรือ โหมโรงโขนละคร มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการบูชาครูให้เกิดสวัสดิมงคล โดยในขณะที่ปี่พาทย์ทำโหมโรง ครูหรือนายโรงโขนละครก็จะทำพิธีตั้งกำนลที่หน้าหัวโขนครู และประโยชน์ทางอ้อมอีกประการหนึ่งก็ถือว่าเป็นการ "อุ่นข้อ" ของคนปี่พาทย์ก่อนที่จะจับเรื่องบรรเลงเป็นเวลานานๆ และประโยชน์ที่สำคัญคือการเรียกคนดูในรัศมีที่จะได้ยินเสียงปี่พาทย์ให้ทราบว่ากำลังจะมีโขนละครแสดง ณ ที่นั้น เพราะในอดีตยังไม่มีระบบการประชาสัมพันธ์หรือสื่อออนไลน์อันสะดวกเช่นในยุคนี้ ความยาวของชุดเพลงโหมโรงก็นานเพียงพอที่จะเดินจากบ้านมาทันดูโขนละครลงโรงได้ทัน
มีธรรมเนียมเกี่ยวกับการบรรเลงโหมโรงโขนละครมากมาย ดังที่ครูมนตรี ตราโมท ได้มีอรรถาธิบายไว้ เช่น "ถ้าเป็นการแสดงละครโดยเอกเทศ มิได้มีพิธีการอื่นใดมาก่อน การโหมโรงก็เริ่มต้นอย่างโหมโรงตอนเย็น (สาธุการ) ตามลำดับโดยตลอด แล้วแถมท้ายด้วยเพลง “วา” อีกเพลงหนึ่ง...แต่ถ้าการแสดงนั้นเนื่องด้วยงานพิธีอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น โกนจุก บวชนาค ฯลฯ ซึ่งมีพิธีอื่นๆ มาก่อน การโหมโรงละครจะเริ่มด้วยเพลงตระ (ไม่มีสาธุการ) แล้วต่อไปรัวสามลาและเพลงอื่นตามลำดับ แล้วต่อท้ายด้วยเพลงวา เช่นเดียวกัน"
ซึ่งการโหมโรงโขนละครส่วนใหญ่แล้วจะใช้เพลงชุด "โหมโรงเย็น" เพราะมหรสพส่วนมากลงโรงเล่นเมื่อย่ำค่ำไปเลิกเมื่อสองยาม หรือบางงานก็เล่นถึงย่ำรุ่งก็มี ดังที่เราเพิ่งเห็นจากมหรสพสมโภชในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ เพลงชุดโหมโรงเย็นที่มีจำนวนชุดเพลง ๑๔ เพลง จึงมักได้ยินเจนหูมากกว่าโหมโรงใด แต่โขนละครในอดีตเล่นทั้งกลางวันและกลางคืน โดยปลูกโรงเล่นในงานมหรสพสมโภช ตั้งแต่ ๓ วันไปจนสูงสุดถึง ๑๓ วันก็มี หรือบางงานเป็นมหรสพที่ต่อเนื่องจากพิธีสงฆ์ เช่น แสดงละครในงานโกนจุก ซึ่งมักมีละครเล่นในตอนบ่าย หรือโขนนอนโรงที่จับตอนเล่นยาวมากๆ หลายวันจึงจบ ก็มักเล่นทั้งตอนเย็น นอนโรง เมื่อกลางวันจึงตื่นเล่นเช้า พักกินข้าวเที่ยงแล้วเล่นบ่ายต่ออีก การมีชุดเพลงโหมโรงสำหรับบรรเลงในแต่ละช่วงเวลาจึงล้วนมีความหมายและแสดงความละเอียดอ่อนของบุรพาจารย์ทางดนตรีปี่พาทย์ของไทยที่วางระบบเพลงเป็นธรรมเนียมเหล่านี้ไว้
ข้าพเจ้าประทับใจกับความไพเราะของเพลงชุด "โหมโรงกลางวัน" ที่ไม่ค่อยคุ้นหูนักในปัจจุบัน เพราะแทบไม่มีมหรสพใดเล่นตอนบ่ายๆ เหมือนอย่างโบราณ หรือเหมือนอย่างฝรั่งที่มีรอบการแสดงที่เรียกว่า Matinee ในเวลาบ่ายๆ โดยเพลงชุดนี้จะบรรเลงหลังจากที่ชาวโขนละครปี่พาทย์พักหยุดกินข้าวเที่ยงแล้วจะลงมือแสดงในตอนบ่าย โดยการแสดงโหมโรงโขนและหนังใหญ่ จะต้องเริ่มบรรเลงด้วยเพลงสาธุการเสมอ เมื่อได้สดับฟังเพลงก็พบเพลงหน้าพาทย์อันเรียงลำดับอย่างน่าสนใจและไพเราะยิ่ง หนำซ้ำยังมีการแยกชุดเพลงเป็น โหมโรงโขน และโหมโรงละคร ให้แตกต่างกันออกไปอีก ได้แก่
โหมโรงกลางวัน เมื่อทำโขน ได้แก่
๑. กราวใน
๒. เสมอข้ามสมุทร
๓. เชิด
๔. ชุบ-แล้วลงลา
๕. กระบองกัน-รัว
๖. ตะคุกรุกร้น-รัว
๗. ใช้เรือ-รัว
๘. ปลูกต้นไม้-รัว
๙. ตระสันนิบาต
๑๐. เชิด-ปฐม-รัว
โหมโรงกลางวัน เมื่อทำละคร ได้แก่
๑. กราวใน
๒. เสมอข้ามสมุทร
๓. รัวสามลา
๔. เชิด
๕. ลา
๖. กระบองกัน-รัว
๗. ปลูกต้นไม้-รัว
๘. ใช้เรือ-รัว
๙. เหาะ-รัว
๑๐. โล้-รัว
ครูปี๊บ คงลายทอง เล่าเพิ่มเติมในการบรรเลงครั้งหนึ่ง ณ อัมพวา ว่า เพลงในชุดนี้มีเพลงของฝ่ายยักษ์และฝ่ายพระปนกันอยู่ โดยหน้าพาทย์สำหรับฝ่ายลงกา คือกราวใน ๓ ท่อน และมีหน้าพาทย์สำหรับฝ่ายพลับพลา คือ เสมอข้ามสมุทร อยู่ต่อกัน และโหมโรงกลางวันแต่ละสำนักก็มีวิธีการเรียงลำดับเพลงที่แตกต่างกันอยู่บ้าง เพลงชุดโหมโรงกลางวันจึงมีความสำคัญทั้งในบทบาทสำหรับการดนตรีและนาฏกรรมที่เริ่มจะเลือนหายไปกับกาลเวลา โดยส่วนตัวชอบเพลงหน้าพาทย์ที่หาฟังยากเช่น ชุบ ตะคุกรักร้น ใช้เรือ ปลูกต้นไม้ ต่างก็ถูกบรรจุไว้ในเพลงชุดโหมโรงกลางวันนี้
ที่เขียนเล่ามายาวนี้ก็เพียงอยากให้เห็นความสำคัญของลำดับการแสดงของนาฏกรรมไทยที่มีธรรมเนียมสืบทอดมาเป็นระบบระเบียบ แม้เป็นผู้รำก็พึงทำความเข้าใจในลำดับโครงสร้างเหล่านี้ ผู้ที่เป็นผู้ดูผู้ชมในสังคมปัจจุบันก็จะได้เรียนรู้นัยแห่งความหมายอันจะทำให้เกิดอรรถรสลึกซึ้งเมื่อได้เสพศิลปะทางดนตรีและนาฏกรรมของไทย สำหรับท่านที่สนใจจะสดับความไพเราะชุดเพลงโหมโรงกลางวัน ก็สามารถเข้าไปฟังได้ที่ https://youtu.be/DrmgkDu7MSM
เสี่ยงปี่พาทย์ไทยนั้นขลังนัก
๓๐ กันยายน ๒๕๖๓
..........................................................
อ้างอิง
- กรมศิลปากร. นาฏยศาสตร์. (พิมพ์ครั้งที่ ๒) กรุงเทพฯ: กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์, ๒๕๔๑.
- เจนจิรา เบญจพงษ์. ดนตรีอุษาคเนย์. นครปฐม: วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๕๕.
- มนตรี ตราโมท. "ดนตรีและการขับร้องประกอบการแสดงละคอนรำ" ใน ศิลปะละคอนรำหรือคู่มือนาฏศิลป์ไทย. กรุงเทพ: กรมศิลปากร, ๒๕๓๑.
- ปี๊บ คงลายทอง, คำอธิบายหลังการบรรเลงในงาน ๑๓๐ ปี หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ณ อุทยานพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม, ๖ สิงหาคม ๒๕๕๔.

น่ารู้กับครูบ๊อบ, 2020
"รำเดี่ยว" VS "รำคนเดียว"
ข้อสังเกตบางประการ
ธรรมจักร พรหมพ้วย
ในการแสดงโขนละครของไทยที่จับเรื่... more "รำเดี่ยว" VS "รำคนเดียว"
ข้อสังเกตบางประการ
ธรรมจักร พรหมพ้วย
ในการแสดงโขนละครของไทยที่จับเรื่องราวจากวรรณคดีเรื่องต่างๆ มาสร้างสรรค์ในรูปของละคร ตัดตอนมาแสดงโดยเลือกช่วงที่มีความน่าสนใจไม่ว่าจะเป็นจากเนื้อหาที่สนุกน่าติดตาม โดยจับเรื่องหรือตัดมาแต่ตอนที่มีกระบวนรำงามๆ แทรกอยู่ และด้วยอัจฉริยภาพของบุรพาจารย์หรือครูโขนละครที่มีชื่อ มีฝีมือ ได้ออกท่ารำสร้างสรรค์เป็นกระบวนรำใช้เล่นแทรกในละครประเภทต่างๆ ทั้งในรูปแบบโขน ละครใน ละครนอก ละครพันทาง ฯลฯ มีลักษณะเฉพาะตัว ท่ายาก ท่าเก๋ ลูกเล่น แพรวพราว
ฉะนั้นจึงเกิดการสร้างสรรค์เพื่อรำอวดฝีมือของตัวละครกลุ่ม ตัวดี ตัวเอก ได้แก่ พระเอก นางเอก ที่ตัวละครที่เป็นเอกในตอนนั้นๆ หรืออาจเป็นกระบวนของตัวละครเบ็ดเตล็ดที่อวดวิธีรำหรืออวดการแสดงอารมณ์พิเศษที่ซับซ้อน แสดงได้ยาก เกิดเป็นกระบวนรำที่เป็นชุดขนาดยาวใช้แทรกระหว่างละคร เช่น ฉุยฉาย ลงสรง ทรงเครื่อง ตรวจพล บวงสรวง หรือเพลงหน้าชั้นสูงที่ใช้อวดความยากของการรำเป็นพิเศษ เช่น กลมของตัวพระ เชิดฉิ่งของตัวนาง กราวของยักษ์และลิง กระบวนรำกลุ่มนี้เป็นที่หวงแหนของครูบาอาจารย์รุ่นเก่า เพราะถือว่าเป็นของทำมาหากินมิใช่ว่าใครรำเป็นก็จะได้กันทุกคน ครูจะต่อ (ถ่ายทอด) ให้กับตัวนายโรง นางเอก หรือผู้ที่จำเป็นจะต้องออกแสดงเท่านั้น
แต่เดิมไทยเราก็ไม่ได้เรียกรำเดี่ยว ได้ยินแต่ครูอาจารย์ทางโขนละครท่านว่าเป็นรำอวดฝีมือ ที่เรียกรำเดี่ยวเห็นจะมาในยุคนี้โดยอ้างอิงตามคำเรียกอย่างการแสดงบัลเล่ต์ (Ballet) ที่มีเต้นเดี่ยว (Solo) เต้นคู่ (Pas de deux) ฯลฯ ของนักเต้นเพื่ออวดทักษะชั้นสูงเช่นกัน ที่ได้ยินคำไทยโบราณเรียก "เดี่ยว" ก็น่าจะเป็นทางดนตรี ที่มีทางเพลงไว้สำหรับเดี่ยวอวดฝีมือ เรียก "ทางเดี่ยว" หรือ "เพลงเดี่ยว" การรำเดี่ยวแบบไทยในแต่ละกระบวนกินเวลายาวนานมาก บางชุดหากรำเต็มกระบวนยาวกว่าครึ่งชั่วโมงก็มี เพราะการรำแบบโบราณต้องมีการรับร้อง ร้องทวนบท หรือปี่พาทย์บรรเลงรับทุกคำกลอน คนรำก็จะต้องสร้างสรรค์ท่ารับที่เป็นการซัดท่า หรือหาท่ารำแปลกๆ งามๆ มารำเมื่อปี่พาทย์รับโดยไม่รำทวนบท เป็นการแก้จืดตา นักดูรำก็จะดูความเก๋ไก๋ ความยาก ความงามน่าประหลาดตาก็จากกระบวนรำส่วนนี้ ทำให้การดูรำยาวๆ เพลิดเพลินจำเริญตา ทว่าคนยุคใหม่อาจยังงงๆ ว่าผู้รำรำอะไรกันหนักหนากับทำนองที่ซ้ำไปมา การแก้ปัญหาความซ้ำไม่ให้ดูเลี่ยนนี้เอง เป็นเสน่ห์ของงานสร้างสรรค์ของครูโบราณของไทย ซึ่งนักดูในโลกยุคใหม่อาจต้องเรียนรู้และตามให้ทัน
เมื่อศิลปะทางการฟ้อนรำของไทยย้ายพื้นที่จากโรงโขนโรงละครเข้ามาสู่สถาบันการศึกษาที่จัดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบเป็นขั้นเป็นตอน จึงได้มีการหยิบยกเอากระบวนรำเดี่ยวของเก่าเหล่านั้นมาเป็นบททดสอบทางการศึกษา โดยให้นิสิตนักศึกษาเลือกกระบวนรำที่จะใช้สอบ โดยเสนอต้นสังกัดว่าจะรำเพลงอะไรและต่อกับใคร ขั้นตอนนี้ต้องพิจารณามากสักหน่อย เพราะทุกคนจำเป็นจะต้องสอบไม่ว่าฝีมือจะอยู่ในระดับใด ไม่เหมือนกับการคัดเลือกแบบโบราณที่จะครูจะเป้นผู้เลือกตามความเหมาะสมกับบุคลิกภาพและบทบาทของตัวละครในตอนนั้นๆ ฉะนั้นเมื่อผู้เรียนได้มีโอกาสเลือกเองก็เป็นการประเมินได้ว่าเลือกได้เหมาะสมกัยฝีมือและบุคลิกภาพของตนเพียงใด ก่อนที่จะไปหาครูผู้ใหญ่เพื่อรับการถ่ายทอดอย่างจริงจัง หากใครไม่ประมาณตัวเลือกของยากกว่าฝีมือตัวเอง ก็เหมือนกับฆ่าตัวตายกลางโรงในวันสอบ หรือหากเลือกง่ายเกินไปก็ไม่มีส่วนแสดงศักยภาพของตัวให้คณะกรรมการเห็น ทั้งนี้ต้องประเมินตนว่าฝีมือรำของตัวเหมาะกับทางใน ทางนอก หรือพันทาง เพราะเทคนิควิธีรำจะแตกต่างกันมากโขอยู่ ดังนั้นหากเลือกได้เหมาะสมก็จะเป็นการรำอวดฝีมือที่เรียกได้ว่า "รำเดี่ยว" หากเลือกพลาดก็เป็นที่กระอักกระอ่วนใจของทั้งผู้รำ ครูอาจารย์ กรรมการและผู้ชม เพราะต้องทนดูการ "รำคนเดียว" ที่แสนจะยืดยาวไปจนกว่าจะจบกระบวน
ในอดีตคนรำอวดฝีมือจะต้องรู้เพลงการทางปี่พาทย์ที่ใช้ประกอบอยู่มาก ทราบมาว่าครูบางท่านถึงกับต้องไปหัดปี่พาทย์ ตีเครื่องหนัง เพื่อให้รู้วิธีการร้องการบรรเลงอย่างถ่องแท้ หรือบางท่านก็มีความชำนิชำนาญการรำกับปี่พาทย์ ไม่ว่าดนตรีจะบรรเลงมาอย่างไร จะแกล้งกันเพียงไหนก็รำได้จนรอดจนดี เรียกกันว่า "ไม่จน" อีกทั้งกระบวนรำชั้นสูงมีการบรรเลงเครื่องหนังที่เรียกว่า "หน้าทับ" อันเป็นพิเศษสำหรับเพลงแต่ละกระบวน เช่นในกลุ่มของละครในมีเพลงที่ใช้กลองแขกหน้าทับพิเศษประกอบอยู่มาก เช่น ลงสรงโทน ลงสรงสุหร่าย สะระหม่า โยน แปลง ฯลฯ มีรุปแบบการบรรเลงเฉพาะ หากผู้รำเข้าใจเพลงอย่างแตกฉานก็สามารถเล่นเท้า เดาะเท้า ให้ตรงต้องกับเพลงได้ลงตัว ผู้ใดรู้น้อยก็มักไปติปี่พาทย์ว่าตีกลองไม่ต้องเพลง เกิดสำนวนไทยที่ว่า "รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง" ถึงการสอบยุคปัจจุบันทักษะการรำกับวงปี่พาทย์ลดลง ด้วยผู้สอบพะวงว่าจะไม่เหมือนกับที่ซ้อมมา หรือกลัวรู้ไม่ทันปี่พาทย์ ถึงยุคเทคโนโลยีจึงเกิดการรำกับเสียงปี่พาทย์ที่บันทึกไว้แล้ว อรรถรสที่จะได้เห็นการซัดท่ารำเพลงเร็ว การตื่นกลอง การเล่นตะโพน ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากการสอบรำเดี่ยว
อีกทั้งเมื่อยุคที่วัสดุหาได้ง่าย การเสาะแสวงหาเครื่องแต่งกายงามๆ สร้างฉากเติมเต็ม สวมเครื่องประดับตามบทร้อง ก็เริ่มมีมากจนไม่หลงเหลือพื้นที่แห่งจินตนาการ โดยอาจลืมไปว่าโขนละครแบบโบราณนั้นตั้งเตียงตั่งแต่เพียงตัวเดียวก็สามารถรำละครได้ทั้งเรื่องทั้งตอน ผู้ชมจะจดจ่อไปที่ตัวละครและกระบวนรำว่าสามารถทำให้สร้างจินตนาการตามบทประพันธ์ได้สมบูรณ์เพียงใด ลองดูกระบวนรำเชิดฉิ่งเมขลา ที่แสดงกระบวนการตามท้องเรื่องเมื่อเมขลาจะออกจากวิมาน ก็มีท่าปิดบัญชรวิมานทีละช่องๆ เมื่อเหาะมาในอากาศได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าก็ตกใจ แสดงออกด้วยท่าตื่นกลอง ตุ๊มๆ ต่อมๆ เหล่านี้เป็นการสร้างจินตนาการชั้นสูงอย่างไทยแท้ที่บุรพาจารย์บรรจงแทรกไว้ในกระบวนรำเดี่ยวต่างๆ รอคอยผู้มีความสามารถที่จะแสดงให้ "ถึง" ให้คนดูเข้าใจและสัมผัสได้ตามอารมณ์และเนื้อหาของเรื่องราว
อย่างไรก็ดี การสอบรำเดี่ยวก็ได้แสดงศักยภาพของเด้กยุคใหม่ที่มุ่งมั้นตั้งใจในการเรียนรำไทย หลายคนเป็นครั้งแรกที่ได้แต่งเครื่องละคร สวมมงกุฎชฎาออกรำเป้นครั้งแรกในชีวิต จึงขอให้บันไดก้าวแรกในชีวิตนี้นำทางให้นิสิตนักศึกษาเหล่านั้นได้เข้าถึงแก่นแท้ของการรำ มิใช่เพียงเปลือกจากเครื่องแต่งกายและภาพถ่ายอันงดงาม
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓

น่ารู้กับครูบ๊อบ, 2020
ในขณะที่ช่วยกันแสวงหาทางออกให้กับการอยู่รอดของการเรียนการสอนทางด้านศิลปกรรมศาสตร์ ต่างช่วยกันคิดค... more ในขณะที่ช่วยกันแสวงหาทางออกให้กับการอยู่รอดของการเรียนการสอนทางด้านศิลปกรรมศาสตร์ ต่างช่วยกันคิดค้นหาแนวทางที่จะต้องให้ทันโลกที่เปลี่ยนแปลง ความต้องการของตลาด ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง และคุณค่าในบุคคลที่มีศักยภาพในการสร้างสรรค์
ความคิดต่าง ๆ นานาถูกหยิบมาอภิปราย ถกเถียง เทียบเคียงกับหลักสูตรในประเทศ ต่างประเทศ และความจำเป็นเร่งด่วนให้รับกับโลกที่หมุนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ทว่า ยิ่งคิดยิ่งติดกับดักของระบบบางระบบ ของคำบางคำ ต่อให้ผลิตคนให้ดีปานใดก็ไม่มีพื้นที่ให้เขาเหล่านั้นได้ทำงาน บางระบบก็ยังปรารถนา "วุฒิตรง" ที่มีสาขาวิชาตรงตามระเบียบไม่ผิดเพี้ยนตัวอักษร ไม่สนใจอินทร์พรหมยมยักษ์ว่าโลกเดินไปไกลกว่าเกณฑ์ กพ แล้ว และต่างโยนความผิดให้กันไปมา ไม่สนใจนักเรียน นักศึกษาที่รอบทสรุป
บางระบบก็รับแต่หมู่พวกของตนไม่สนคนรู้จริง เชี่ยวชาญจริง เพราะกลัวจะไปทำลายระบบ ทลายคอกที่สร้างเอาไว้ขังตัวเอง เอื้อกันเอง อวยกันเอง
เมื่อสังคมไม่ต้องการความคิด ความก้าวหน้า ก็จงว่ายวนในอ่างศิลปะใบเดิม ชื่อเดิม ๆ น้ำเดิม ๆ กันต่อไป ...อนิจจัง...
Teaching Documents by Thummachuk Prompuay, PhD
เอกสารประกอบการสอน, 2016
เอกสารประกอบการสอนราชวิชา ประวัตินาฏศิลป์เอเชีย โดย อาจารย์ อร.ธรรมจักร พรหมพ้วย สาขาวิชานาฏกรรมไ... more เอกสารประกอบการสอนราชวิชา ประวัตินาฏศิลป์เอเชีย โดย อาจารย์ อร.ธรรมจักร พรหมพ้วย สาขาวิชานาฏกรรมไทย คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
เอกสารประกอบการสอน, 2011
เอกสารประกอบการสอนวิชาทฤษฎีนาฏยศาสตร์ โดยอาจารย์ ดร.ธรรมจักร พรหมพ้วย สาขาวิชานาฏกรรมไทย คณะศิลปก... more เอกสารประกอบการสอนวิชาทฤษฎีนาฏยศาสตร์ โดยอาจารย์ ดร.ธรรมจักร พรหมพ้วย สาขาวิชานาฏกรรมไทย คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง, มิถุนายน 2554
เอกสารประกอบการสอน
สำหรับจัดแสดงในอุทยานพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสง... more สำหรับจัดแสดงในอุทยานพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม โดย ธรรมจักร พรหมพ้วย
Uploads
Papers by Thummachuk Prompuay, PhD
Talks by Thummachuk Prompuay, PhD
โหมโรงมหรสพไทยที่แทบเลือนหายไปจากวัฒนธรรม
ธรรมจักร พรหมพ้วย
.....................................
สะดุดใจกับเนื้อหาหนึ่งของตนเองในระหว่างที่สอนหนังสือเกี่ยวกับ "ดนตรีประกอบการแสดง" โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือธรรมเนียมการบรรเลงปี่พาทย์ประกอบมหรสพไทย อันได้แก่ โขน ละคร หุ่น หนัง ว่าจะต้องมีการบรรเลงโหมโรงก่อนเริ่มการแสดงเสมอ ซึ่งก็ไปพ้องกับตำรานาฏยศาสตร์ของอินเดียในอัธยายที่ ๒ ว่าด้วยวิธีการโหมโรง (ปูรฺวรงฺควิธิะ) อันจำเป็นจะต้องจัดเครื่องดนตรี นักร้อง ให้เป็นไปตามลักษณะที่กำหนด ทั้งยังจะต้องกำหนดบทเพลง จังหวะ ทำนอง การขับร้อง เพื่อเป็นการสรรเสริญเทพเจ้า เพื่อก่อให้เกิดสวัสดิมงคลก่อนที่จะเริ่มการแสดง โดยกำหนดลำดับของเพลงที่แสดงความหมายโดยนัยหรือมีคำร้องอันเป็นการสรรเสริญบูชาหรือแนะนำเนื้อเรื่องก่อนการแสดง
แม้ไม่อาจยืนยันได้แน่ชัดว่า ลำดับเพลงในการโหมโรงมหรสพแบบไทย จะบ่งชี้ถึงความหมายโดยนัยอย่างชัดเจนตามคัมภีร์ต้นทางของอินเดียที่มีอายุกว่า ๒,๕๐๐ ปีนั้นหรือไม่ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการกำหนดชุดเพลงตามห้วงเวลาที่จะใช้งาน โดยแบ่งเป็นเพลงชุด โหมโรงเช้า โหมโรงกลางวัน และโหมโรงเย็น และอาจแบ่งหมวดย่อยลงไปเป็นชุดเพลงโหมโรงสำหรับพิธีกรรมและสำหรับมหรสพ มีการจัดเรียงเพลงหน้าพาทย์ต่อกันเป็นชุด เป็นแบบแผนที่ชัดเจน
โหมโรงสำหรับมหรสพ หรือ โหมโรงโขนละคร มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการบูชาครูให้เกิดสวัสดิมงคล โดยในขณะที่ปี่พาทย์ทำโหมโรง ครูหรือนายโรงโขนละครก็จะทำพิธีตั้งกำนลที่หน้าหัวโขนครู และประโยชน์ทางอ้อมอีกประการหนึ่งก็ถือว่าเป็นการ "อุ่นข้อ" ของคนปี่พาทย์ก่อนที่จะจับเรื่องบรรเลงเป็นเวลานานๆ และประโยชน์ที่สำคัญคือการเรียกคนดูในรัศมีที่จะได้ยินเสียงปี่พาทย์ให้ทราบว่ากำลังจะมีโขนละครแสดง ณ ที่นั้น เพราะในอดีตยังไม่มีระบบการประชาสัมพันธ์หรือสื่อออนไลน์อันสะดวกเช่นในยุคนี้ ความยาวของชุดเพลงโหมโรงก็นานเพียงพอที่จะเดินจากบ้านมาทันดูโขนละครลงโรงได้ทัน
มีธรรมเนียมเกี่ยวกับการบรรเลงโหมโรงโขนละครมากมาย ดังที่ครูมนตรี ตราโมท ได้มีอรรถาธิบายไว้ เช่น "ถ้าเป็นการแสดงละครโดยเอกเทศ มิได้มีพิธีการอื่นใดมาก่อน การโหมโรงก็เริ่มต้นอย่างโหมโรงตอนเย็น (สาธุการ) ตามลำดับโดยตลอด แล้วแถมท้ายด้วยเพลง “วา” อีกเพลงหนึ่ง...แต่ถ้าการแสดงนั้นเนื่องด้วยงานพิธีอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น โกนจุก บวชนาค ฯลฯ ซึ่งมีพิธีอื่นๆ มาก่อน การโหมโรงละครจะเริ่มด้วยเพลงตระ (ไม่มีสาธุการ) แล้วต่อไปรัวสามลาและเพลงอื่นตามลำดับ แล้วต่อท้ายด้วยเพลงวา เช่นเดียวกัน"
ซึ่งการโหมโรงโขนละครส่วนใหญ่แล้วจะใช้เพลงชุด "โหมโรงเย็น" เพราะมหรสพส่วนมากลงโรงเล่นเมื่อย่ำค่ำไปเลิกเมื่อสองยาม หรือบางงานก็เล่นถึงย่ำรุ่งก็มี ดังที่เราเพิ่งเห็นจากมหรสพสมโภชในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ เพลงชุดโหมโรงเย็นที่มีจำนวนชุดเพลง ๑๔ เพลง จึงมักได้ยินเจนหูมากกว่าโหมโรงใด แต่โขนละครในอดีตเล่นทั้งกลางวันและกลางคืน โดยปลูกโรงเล่นในงานมหรสพสมโภช ตั้งแต่ ๓ วันไปจนสูงสุดถึง ๑๓ วันก็มี หรือบางงานเป็นมหรสพที่ต่อเนื่องจากพิธีสงฆ์ เช่น แสดงละครในงานโกนจุก ซึ่งมักมีละครเล่นในตอนบ่าย หรือโขนนอนโรงที่จับตอนเล่นยาวมากๆ หลายวันจึงจบ ก็มักเล่นทั้งตอนเย็น นอนโรง เมื่อกลางวันจึงตื่นเล่นเช้า พักกินข้าวเที่ยงแล้วเล่นบ่ายต่ออีก การมีชุดเพลงโหมโรงสำหรับบรรเลงในแต่ละช่วงเวลาจึงล้วนมีความหมายและแสดงความละเอียดอ่อนของบุรพาจารย์ทางดนตรีปี่พาทย์ของไทยที่วางระบบเพลงเป็นธรรมเนียมเหล่านี้ไว้
ข้าพเจ้าประทับใจกับความไพเราะของเพลงชุด "โหมโรงกลางวัน" ที่ไม่ค่อยคุ้นหูนักในปัจจุบัน เพราะแทบไม่มีมหรสพใดเล่นตอนบ่ายๆ เหมือนอย่างโบราณ หรือเหมือนอย่างฝรั่งที่มีรอบการแสดงที่เรียกว่า Matinee ในเวลาบ่ายๆ โดยเพลงชุดนี้จะบรรเลงหลังจากที่ชาวโขนละครปี่พาทย์พักหยุดกินข้าวเที่ยงแล้วจะลงมือแสดงในตอนบ่าย โดยการแสดงโหมโรงโขนและหนังใหญ่ จะต้องเริ่มบรรเลงด้วยเพลงสาธุการเสมอ เมื่อได้สดับฟังเพลงก็พบเพลงหน้าพาทย์อันเรียงลำดับอย่างน่าสนใจและไพเราะยิ่ง หนำซ้ำยังมีการแยกชุดเพลงเป็น โหมโรงโขน และโหมโรงละคร ให้แตกต่างกันออกไปอีก ได้แก่
โหมโรงกลางวัน เมื่อทำโขน ได้แก่
๑. กราวใน
๒. เสมอข้ามสมุทร
๓. เชิด
๔. ชุบ-แล้วลงลา
๕. กระบองกัน-รัว
๖. ตะคุกรุกร้น-รัว
๗. ใช้เรือ-รัว
๘. ปลูกต้นไม้-รัว
๙. ตระสันนิบาต
๑๐. เชิด-ปฐม-รัว
โหมโรงกลางวัน เมื่อทำละคร ได้แก่
๑. กราวใน
๒. เสมอข้ามสมุทร
๓. รัวสามลา
๔. เชิด
๕. ลา
๖. กระบองกัน-รัว
๗. ปลูกต้นไม้-รัว
๘. ใช้เรือ-รัว
๙. เหาะ-รัว
๑๐. โล้-รัว
ครูปี๊บ คงลายทอง เล่าเพิ่มเติมในการบรรเลงครั้งหนึ่ง ณ อัมพวา ว่า เพลงในชุดนี้มีเพลงของฝ่ายยักษ์และฝ่ายพระปนกันอยู่ โดยหน้าพาทย์สำหรับฝ่ายลงกา คือกราวใน ๓ ท่อน และมีหน้าพาทย์สำหรับฝ่ายพลับพลา คือ เสมอข้ามสมุทร อยู่ต่อกัน และโหมโรงกลางวันแต่ละสำนักก็มีวิธีการเรียงลำดับเพลงที่แตกต่างกันอยู่บ้าง เพลงชุดโหมโรงกลางวันจึงมีความสำคัญทั้งในบทบาทสำหรับการดนตรีและนาฏกรรมที่เริ่มจะเลือนหายไปกับกาลเวลา โดยส่วนตัวชอบเพลงหน้าพาทย์ที่หาฟังยากเช่น ชุบ ตะคุกรักร้น ใช้เรือ ปลูกต้นไม้ ต่างก็ถูกบรรจุไว้ในเพลงชุดโหมโรงกลางวันนี้
ที่เขียนเล่ามายาวนี้ก็เพียงอยากให้เห็นความสำคัญของลำดับการแสดงของนาฏกรรมไทยที่มีธรรมเนียมสืบทอดมาเป็นระบบระเบียบ แม้เป็นผู้รำก็พึงทำความเข้าใจในลำดับโครงสร้างเหล่านี้ ผู้ที่เป็นผู้ดูผู้ชมในสังคมปัจจุบันก็จะได้เรียนรู้นัยแห่งความหมายอันจะทำให้เกิดอรรถรสลึกซึ้งเมื่อได้เสพศิลปะทางดนตรีและนาฏกรรมของไทย สำหรับท่านที่สนใจจะสดับความไพเราะชุดเพลงโหมโรงกลางวัน ก็สามารถเข้าไปฟังได้ที่ https://youtu.be/DrmgkDu7MSM
เสี่ยงปี่พาทย์ไทยนั้นขลังนัก
๓๐ กันยายน ๒๕๖๓
..........................................................
อ้างอิง
- กรมศิลปากร. นาฏยศาสตร์. (พิมพ์ครั้งที่ ๒) กรุงเทพฯ: กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์, ๒๕๔๑.
- เจนจิรา เบญจพงษ์. ดนตรีอุษาคเนย์. นครปฐม: วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๕๕.
- มนตรี ตราโมท. "ดนตรีและการขับร้องประกอบการแสดงละคอนรำ" ใน ศิลปะละคอนรำหรือคู่มือนาฏศิลป์ไทย. กรุงเทพ: กรมศิลปากร, ๒๕๓๑.
- ปี๊บ คงลายทอง, คำอธิบายหลังการบรรเลงในงาน ๑๓๐ ปี หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ณ อุทยานพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม, ๖ สิงหาคม ๒๕๕๔.
ข้อสังเกตบางประการ
ธรรมจักร พรหมพ้วย
ในการแสดงโขนละครของไทยที่จับเรื่องราวจากวรรณคดีเรื่องต่างๆ มาสร้างสรรค์ในรูปของละคร ตัดตอนมาแสดงโดยเลือกช่วงที่มีความน่าสนใจไม่ว่าจะเป็นจากเนื้อหาที่สนุกน่าติดตาม โดยจับเรื่องหรือตัดมาแต่ตอนที่มีกระบวนรำงามๆ แทรกอยู่ และด้วยอัจฉริยภาพของบุรพาจารย์หรือครูโขนละครที่มีชื่อ มีฝีมือ ได้ออกท่ารำสร้างสรรค์เป็นกระบวนรำใช้เล่นแทรกในละครประเภทต่างๆ ทั้งในรูปแบบโขน ละครใน ละครนอก ละครพันทาง ฯลฯ มีลักษณะเฉพาะตัว ท่ายาก ท่าเก๋ ลูกเล่น แพรวพราว
ฉะนั้นจึงเกิดการสร้างสรรค์เพื่อรำอวดฝีมือของตัวละครกลุ่ม ตัวดี ตัวเอก ได้แก่ พระเอก นางเอก ที่ตัวละครที่เป็นเอกในตอนนั้นๆ หรืออาจเป็นกระบวนของตัวละครเบ็ดเตล็ดที่อวดวิธีรำหรืออวดการแสดงอารมณ์พิเศษที่ซับซ้อน แสดงได้ยาก เกิดเป็นกระบวนรำที่เป็นชุดขนาดยาวใช้แทรกระหว่างละคร เช่น ฉุยฉาย ลงสรง ทรงเครื่อง ตรวจพล บวงสรวง หรือเพลงหน้าชั้นสูงที่ใช้อวดความยากของการรำเป็นพิเศษ เช่น กลมของตัวพระ เชิดฉิ่งของตัวนาง กราวของยักษ์และลิง กระบวนรำกลุ่มนี้เป็นที่หวงแหนของครูบาอาจารย์รุ่นเก่า เพราะถือว่าเป็นของทำมาหากินมิใช่ว่าใครรำเป็นก็จะได้กันทุกคน ครูจะต่อ (ถ่ายทอด) ให้กับตัวนายโรง นางเอก หรือผู้ที่จำเป็นจะต้องออกแสดงเท่านั้น
แต่เดิมไทยเราก็ไม่ได้เรียกรำเดี่ยว ได้ยินแต่ครูอาจารย์ทางโขนละครท่านว่าเป็นรำอวดฝีมือ ที่เรียกรำเดี่ยวเห็นจะมาในยุคนี้โดยอ้างอิงตามคำเรียกอย่างการแสดงบัลเล่ต์ (Ballet) ที่มีเต้นเดี่ยว (Solo) เต้นคู่ (Pas de deux) ฯลฯ ของนักเต้นเพื่ออวดทักษะชั้นสูงเช่นกัน ที่ได้ยินคำไทยโบราณเรียก "เดี่ยว" ก็น่าจะเป็นทางดนตรี ที่มีทางเพลงไว้สำหรับเดี่ยวอวดฝีมือ เรียก "ทางเดี่ยว" หรือ "เพลงเดี่ยว" การรำเดี่ยวแบบไทยในแต่ละกระบวนกินเวลายาวนานมาก บางชุดหากรำเต็มกระบวนยาวกว่าครึ่งชั่วโมงก็มี เพราะการรำแบบโบราณต้องมีการรับร้อง ร้องทวนบท หรือปี่พาทย์บรรเลงรับทุกคำกลอน คนรำก็จะต้องสร้างสรรค์ท่ารับที่เป็นการซัดท่า หรือหาท่ารำแปลกๆ งามๆ มารำเมื่อปี่พาทย์รับโดยไม่รำทวนบท เป็นการแก้จืดตา นักดูรำก็จะดูความเก๋ไก๋ ความยาก ความงามน่าประหลาดตาก็จากกระบวนรำส่วนนี้ ทำให้การดูรำยาวๆ เพลิดเพลินจำเริญตา ทว่าคนยุคใหม่อาจยังงงๆ ว่าผู้รำรำอะไรกันหนักหนากับทำนองที่ซ้ำไปมา การแก้ปัญหาความซ้ำไม่ให้ดูเลี่ยนนี้เอง เป็นเสน่ห์ของงานสร้างสรรค์ของครูโบราณของไทย ซึ่งนักดูในโลกยุคใหม่อาจต้องเรียนรู้และตามให้ทัน
เมื่อศิลปะทางการฟ้อนรำของไทยย้ายพื้นที่จากโรงโขนโรงละครเข้ามาสู่สถาบันการศึกษาที่จัดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบเป็นขั้นเป็นตอน จึงได้มีการหยิบยกเอากระบวนรำเดี่ยวของเก่าเหล่านั้นมาเป็นบททดสอบทางการศึกษา โดยให้นิสิตนักศึกษาเลือกกระบวนรำที่จะใช้สอบ โดยเสนอต้นสังกัดว่าจะรำเพลงอะไรและต่อกับใคร ขั้นตอนนี้ต้องพิจารณามากสักหน่อย เพราะทุกคนจำเป็นจะต้องสอบไม่ว่าฝีมือจะอยู่ในระดับใด ไม่เหมือนกับการคัดเลือกแบบโบราณที่จะครูจะเป้นผู้เลือกตามความเหมาะสมกับบุคลิกภาพและบทบาทของตัวละครในตอนนั้นๆ ฉะนั้นเมื่อผู้เรียนได้มีโอกาสเลือกเองก็เป็นการประเมินได้ว่าเลือกได้เหมาะสมกัยฝีมือและบุคลิกภาพของตนเพียงใด ก่อนที่จะไปหาครูผู้ใหญ่เพื่อรับการถ่ายทอดอย่างจริงจัง หากใครไม่ประมาณตัวเลือกของยากกว่าฝีมือตัวเอง ก็เหมือนกับฆ่าตัวตายกลางโรงในวันสอบ หรือหากเลือกง่ายเกินไปก็ไม่มีส่วนแสดงศักยภาพของตัวให้คณะกรรมการเห็น ทั้งนี้ต้องประเมินตนว่าฝีมือรำของตัวเหมาะกับทางใน ทางนอก หรือพันทาง เพราะเทคนิควิธีรำจะแตกต่างกันมากโขอยู่ ดังนั้นหากเลือกได้เหมาะสมก็จะเป็นการรำอวดฝีมือที่เรียกได้ว่า "รำเดี่ยว" หากเลือกพลาดก็เป็นที่กระอักกระอ่วนใจของทั้งผู้รำ ครูอาจารย์ กรรมการและผู้ชม เพราะต้องทนดูการ "รำคนเดียว" ที่แสนจะยืดยาวไปจนกว่าจะจบกระบวน
ในอดีตคนรำอวดฝีมือจะต้องรู้เพลงการทางปี่พาทย์ที่ใช้ประกอบอยู่มาก ทราบมาว่าครูบางท่านถึงกับต้องไปหัดปี่พาทย์ ตีเครื่องหนัง เพื่อให้รู้วิธีการร้องการบรรเลงอย่างถ่องแท้ หรือบางท่านก็มีความชำนิชำนาญการรำกับปี่พาทย์ ไม่ว่าดนตรีจะบรรเลงมาอย่างไร จะแกล้งกันเพียงไหนก็รำได้จนรอดจนดี เรียกกันว่า "ไม่จน" อีกทั้งกระบวนรำชั้นสูงมีการบรรเลงเครื่องหนังที่เรียกว่า "หน้าทับ" อันเป็นพิเศษสำหรับเพลงแต่ละกระบวน เช่นในกลุ่มของละครในมีเพลงที่ใช้กลองแขกหน้าทับพิเศษประกอบอยู่มาก เช่น ลงสรงโทน ลงสรงสุหร่าย สะระหม่า โยน แปลง ฯลฯ มีรุปแบบการบรรเลงเฉพาะ หากผู้รำเข้าใจเพลงอย่างแตกฉานก็สามารถเล่นเท้า เดาะเท้า ให้ตรงต้องกับเพลงได้ลงตัว ผู้ใดรู้น้อยก็มักไปติปี่พาทย์ว่าตีกลองไม่ต้องเพลง เกิดสำนวนไทยที่ว่า "รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง" ถึงการสอบยุคปัจจุบันทักษะการรำกับวงปี่พาทย์ลดลง ด้วยผู้สอบพะวงว่าจะไม่เหมือนกับที่ซ้อมมา หรือกลัวรู้ไม่ทันปี่พาทย์ ถึงยุคเทคโนโลยีจึงเกิดการรำกับเสียงปี่พาทย์ที่บันทึกไว้แล้ว อรรถรสที่จะได้เห็นการซัดท่ารำเพลงเร็ว การตื่นกลอง การเล่นตะโพน ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากการสอบรำเดี่ยว
อีกทั้งเมื่อยุคที่วัสดุหาได้ง่าย การเสาะแสวงหาเครื่องแต่งกายงามๆ สร้างฉากเติมเต็ม สวมเครื่องประดับตามบทร้อง ก็เริ่มมีมากจนไม่หลงเหลือพื้นที่แห่งจินตนาการ โดยอาจลืมไปว่าโขนละครแบบโบราณนั้นตั้งเตียงตั่งแต่เพียงตัวเดียวก็สามารถรำละครได้ทั้งเรื่องทั้งตอน ผู้ชมจะจดจ่อไปที่ตัวละครและกระบวนรำว่าสามารถทำให้สร้างจินตนาการตามบทประพันธ์ได้สมบูรณ์เพียงใด ลองดูกระบวนรำเชิดฉิ่งเมขลา ที่แสดงกระบวนการตามท้องเรื่องเมื่อเมขลาจะออกจากวิมาน ก็มีท่าปิดบัญชรวิมานทีละช่องๆ เมื่อเหาะมาในอากาศได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าก็ตกใจ แสดงออกด้วยท่าตื่นกลอง ตุ๊มๆ ต่อมๆ เหล่านี้เป็นการสร้างจินตนาการชั้นสูงอย่างไทยแท้ที่บุรพาจารย์บรรจงแทรกไว้ในกระบวนรำเดี่ยวต่างๆ รอคอยผู้มีความสามารถที่จะแสดงให้ "ถึง" ให้คนดูเข้าใจและสัมผัสได้ตามอารมณ์และเนื้อหาของเรื่องราว
อย่างไรก็ดี การสอบรำเดี่ยวก็ได้แสดงศักยภาพของเด้กยุคใหม่ที่มุ่งมั้นตั้งใจในการเรียนรำไทย หลายคนเป็นครั้งแรกที่ได้แต่งเครื่องละคร สวมมงกุฎชฎาออกรำเป้นครั้งแรกในชีวิต จึงขอให้บันไดก้าวแรกในชีวิตนี้นำทางให้นิสิตนักศึกษาเหล่านั้นได้เข้าถึงแก่นแท้ของการรำ มิใช่เพียงเปลือกจากเครื่องแต่งกายและภาพถ่ายอันงดงาม
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
ความคิดต่าง ๆ นานาถูกหยิบมาอภิปราย ถกเถียง เทียบเคียงกับหลักสูตรในประเทศ ต่างประเทศ และความจำเป็นเร่งด่วนให้รับกับโลกที่หมุนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ทว่า ยิ่งคิดยิ่งติดกับดักของระบบบางระบบ ของคำบางคำ ต่อให้ผลิตคนให้ดีปานใดก็ไม่มีพื้นที่ให้เขาเหล่านั้นได้ทำงาน บางระบบก็ยังปรารถนา "วุฒิตรง" ที่มีสาขาวิชาตรงตามระเบียบไม่ผิดเพี้ยนตัวอักษร ไม่สนใจอินทร์พรหมยมยักษ์ว่าโลกเดินไปไกลกว่าเกณฑ์ กพ แล้ว และต่างโยนความผิดให้กันไปมา ไม่สนใจนักเรียน นักศึกษาที่รอบทสรุป
บางระบบก็รับแต่หมู่พวกของตนไม่สนคนรู้จริง เชี่ยวชาญจริง เพราะกลัวจะไปทำลายระบบ ทลายคอกที่สร้างเอาไว้ขังตัวเอง เอื้อกันเอง อวยกันเอง
เมื่อสังคมไม่ต้องการความคิด ความก้าวหน้า ก็จงว่ายวนในอ่างศิลปะใบเดิม ชื่อเดิม ๆ น้ำเดิม ๆ กันต่อไป ...อนิจจัง...
Teaching Documents by Thummachuk Prompuay, PhD
โหมโรงมหรสพไทยที่แทบเลือนหายไปจากวัฒนธรรม
ธรรมจักร พรหมพ้วย
.....................................
สะดุดใจกับเนื้อหาหนึ่งของตนเองในระหว่างที่สอนหนังสือเกี่ยวกับ "ดนตรีประกอบการแสดง" โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือธรรมเนียมการบรรเลงปี่พาทย์ประกอบมหรสพไทย อันได้แก่ โขน ละคร หุ่น หนัง ว่าจะต้องมีการบรรเลงโหมโรงก่อนเริ่มการแสดงเสมอ ซึ่งก็ไปพ้องกับตำรานาฏยศาสตร์ของอินเดียในอัธยายที่ ๒ ว่าด้วยวิธีการโหมโรง (ปูรฺวรงฺควิธิะ) อันจำเป็นจะต้องจัดเครื่องดนตรี นักร้อง ให้เป็นไปตามลักษณะที่กำหนด ทั้งยังจะต้องกำหนดบทเพลง จังหวะ ทำนอง การขับร้อง เพื่อเป็นการสรรเสริญเทพเจ้า เพื่อก่อให้เกิดสวัสดิมงคลก่อนที่จะเริ่มการแสดง โดยกำหนดลำดับของเพลงที่แสดงความหมายโดยนัยหรือมีคำร้องอันเป็นการสรรเสริญบูชาหรือแนะนำเนื้อเรื่องก่อนการแสดง
แม้ไม่อาจยืนยันได้แน่ชัดว่า ลำดับเพลงในการโหมโรงมหรสพแบบไทย จะบ่งชี้ถึงความหมายโดยนัยอย่างชัดเจนตามคัมภีร์ต้นทางของอินเดียที่มีอายุกว่า ๒,๕๐๐ ปีนั้นหรือไม่ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการกำหนดชุดเพลงตามห้วงเวลาที่จะใช้งาน โดยแบ่งเป็นเพลงชุด โหมโรงเช้า โหมโรงกลางวัน และโหมโรงเย็น และอาจแบ่งหมวดย่อยลงไปเป็นชุดเพลงโหมโรงสำหรับพิธีกรรมและสำหรับมหรสพ มีการจัดเรียงเพลงหน้าพาทย์ต่อกันเป็นชุด เป็นแบบแผนที่ชัดเจน
โหมโรงสำหรับมหรสพ หรือ โหมโรงโขนละคร มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการบูชาครูให้เกิดสวัสดิมงคล โดยในขณะที่ปี่พาทย์ทำโหมโรง ครูหรือนายโรงโขนละครก็จะทำพิธีตั้งกำนลที่หน้าหัวโขนครู และประโยชน์ทางอ้อมอีกประการหนึ่งก็ถือว่าเป็นการ "อุ่นข้อ" ของคนปี่พาทย์ก่อนที่จะจับเรื่องบรรเลงเป็นเวลานานๆ และประโยชน์ที่สำคัญคือการเรียกคนดูในรัศมีที่จะได้ยินเสียงปี่พาทย์ให้ทราบว่ากำลังจะมีโขนละครแสดง ณ ที่นั้น เพราะในอดีตยังไม่มีระบบการประชาสัมพันธ์หรือสื่อออนไลน์อันสะดวกเช่นในยุคนี้ ความยาวของชุดเพลงโหมโรงก็นานเพียงพอที่จะเดินจากบ้านมาทันดูโขนละครลงโรงได้ทัน
มีธรรมเนียมเกี่ยวกับการบรรเลงโหมโรงโขนละครมากมาย ดังที่ครูมนตรี ตราโมท ได้มีอรรถาธิบายไว้ เช่น "ถ้าเป็นการแสดงละครโดยเอกเทศ มิได้มีพิธีการอื่นใดมาก่อน การโหมโรงก็เริ่มต้นอย่างโหมโรงตอนเย็น (สาธุการ) ตามลำดับโดยตลอด แล้วแถมท้ายด้วยเพลง “วา” อีกเพลงหนึ่ง...แต่ถ้าการแสดงนั้นเนื่องด้วยงานพิธีอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น โกนจุก บวชนาค ฯลฯ ซึ่งมีพิธีอื่นๆ มาก่อน การโหมโรงละครจะเริ่มด้วยเพลงตระ (ไม่มีสาธุการ) แล้วต่อไปรัวสามลาและเพลงอื่นตามลำดับ แล้วต่อท้ายด้วยเพลงวา เช่นเดียวกัน"
ซึ่งการโหมโรงโขนละครส่วนใหญ่แล้วจะใช้เพลงชุด "โหมโรงเย็น" เพราะมหรสพส่วนมากลงโรงเล่นเมื่อย่ำค่ำไปเลิกเมื่อสองยาม หรือบางงานก็เล่นถึงย่ำรุ่งก็มี ดังที่เราเพิ่งเห็นจากมหรสพสมโภชในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ เพลงชุดโหมโรงเย็นที่มีจำนวนชุดเพลง ๑๔ เพลง จึงมักได้ยินเจนหูมากกว่าโหมโรงใด แต่โขนละครในอดีตเล่นทั้งกลางวันและกลางคืน โดยปลูกโรงเล่นในงานมหรสพสมโภช ตั้งแต่ ๓ วันไปจนสูงสุดถึง ๑๓ วันก็มี หรือบางงานเป็นมหรสพที่ต่อเนื่องจากพิธีสงฆ์ เช่น แสดงละครในงานโกนจุก ซึ่งมักมีละครเล่นในตอนบ่าย หรือโขนนอนโรงที่จับตอนเล่นยาวมากๆ หลายวันจึงจบ ก็มักเล่นทั้งตอนเย็น นอนโรง เมื่อกลางวันจึงตื่นเล่นเช้า พักกินข้าวเที่ยงแล้วเล่นบ่ายต่ออีก การมีชุดเพลงโหมโรงสำหรับบรรเลงในแต่ละช่วงเวลาจึงล้วนมีความหมายและแสดงความละเอียดอ่อนของบุรพาจารย์ทางดนตรีปี่พาทย์ของไทยที่วางระบบเพลงเป็นธรรมเนียมเหล่านี้ไว้
ข้าพเจ้าประทับใจกับความไพเราะของเพลงชุด "โหมโรงกลางวัน" ที่ไม่ค่อยคุ้นหูนักในปัจจุบัน เพราะแทบไม่มีมหรสพใดเล่นตอนบ่ายๆ เหมือนอย่างโบราณ หรือเหมือนอย่างฝรั่งที่มีรอบการแสดงที่เรียกว่า Matinee ในเวลาบ่ายๆ โดยเพลงชุดนี้จะบรรเลงหลังจากที่ชาวโขนละครปี่พาทย์พักหยุดกินข้าวเที่ยงแล้วจะลงมือแสดงในตอนบ่าย โดยการแสดงโหมโรงโขนและหนังใหญ่ จะต้องเริ่มบรรเลงด้วยเพลงสาธุการเสมอ เมื่อได้สดับฟังเพลงก็พบเพลงหน้าพาทย์อันเรียงลำดับอย่างน่าสนใจและไพเราะยิ่ง หนำซ้ำยังมีการแยกชุดเพลงเป็น โหมโรงโขน และโหมโรงละคร ให้แตกต่างกันออกไปอีก ได้แก่
โหมโรงกลางวัน เมื่อทำโขน ได้แก่
๑. กราวใน
๒. เสมอข้ามสมุทร
๓. เชิด
๔. ชุบ-แล้วลงลา
๕. กระบองกัน-รัว
๖. ตะคุกรุกร้น-รัว
๗. ใช้เรือ-รัว
๘. ปลูกต้นไม้-รัว
๙. ตระสันนิบาต
๑๐. เชิด-ปฐม-รัว
โหมโรงกลางวัน เมื่อทำละคร ได้แก่
๑. กราวใน
๒. เสมอข้ามสมุทร
๓. รัวสามลา
๔. เชิด
๕. ลา
๖. กระบองกัน-รัว
๗. ปลูกต้นไม้-รัว
๘. ใช้เรือ-รัว
๙. เหาะ-รัว
๑๐. โล้-รัว
ครูปี๊บ คงลายทอง เล่าเพิ่มเติมในการบรรเลงครั้งหนึ่ง ณ อัมพวา ว่า เพลงในชุดนี้มีเพลงของฝ่ายยักษ์และฝ่ายพระปนกันอยู่ โดยหน้าพาทย์สำหรับฝ่ายลงกา คือกราวใน ๓ ท่อน และมีหน้าพาทย์สำหรับฝ่ายพลับพลา คือ เสมอข้ามสมุทร อยู่ต่อกัน และโหมโรงกลางวันแต่ละสำนักก็มีวิธีการเรียงลำดับเพลงที่แตกต่างกันอยู่บ้าง เพลงชุดโหมโรงกลางวันจึงมีความสำคัญทั้งในบทบาทสำหรับการดนตรีและนาฏกรรมที่เริ่มจะเลือนหายไปกับกาลเวลา โดยส่วนตัวชอบเพลงหน้าพาทย์ที่หาฟังยากเช่น ชุบ ตะคุกรักร้น ใช้เรือ ปลูกต้นไม้ ต่างก็ถูกบรรจุไว้ในเพลงชุดโหมโรงกลางวันนี้
ที่เขียนเล่ามายาวนี้ก็เพียงอยากให้เห็นความสำคัญของลำดับการแสดงของนาฏกรรมไทยที่มีธรรมเนียมสืบทอดมาเป็นระบบระเบียบ แม้เป็นผู้รำก็พึงทำความเข้าใจในลำดับโครงสร้างเหล่านี้ ผู้ที่เป็นผู้ดูผู้ชมในสังคมปัจจุบันก็จะได้เรียนรู้นัยแห่งความหมายอันจะทำให้เกิดอรรถรสลึกซึ้งเมื่อได้เสพศิลปะทางดนตรีและนาฏกรรมของไทย สำหรับท่านที่สนใจจะสดับความไพเราะชุดเพลงโหมโรงกลางวัน ก็สามารถเข้าไปฟังได้ที่ https://youtu.be/DrmgkDu7MSM
เสี่ยงปี่พาทย์ไทยนั้นขลังนัก
๓๐ กันยายน ๒๕๖๓
..........................................................
อ้างอิง
- กรมศิลปากร. นาฏยศาสตร์. (พิมพ์ครั้งที่ ๒) กรุงเทพฯ: กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์, ๒๕๔๑.
- เจนจิรา เบญจพงษ์. ดนตรีอุษาคเนย์. นครปฐม: วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๕๕.
- มนตรี ตราโมท. "ดนตรีและการขับร้องประกอบการแสดงละคอนรำ" ใน ศิลปะละคอนรำหรือคู่มือนาฏศิลป์ไทย. กรุงเทพ: กรมศิลปากร, ๒๕๓๑.
- ปี๊บ คงลายทอง, คำอธิบายหลังการบรรเลงในงาน ๑๓๐ ปี หลวงประดิษฐ์ไพเราะ ณ อุทยานพระบรมราชานุสรณ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม, ๖ สิงหาคม ๒๕๕๔.
ข้อสังเกตบางประการ
ธรรมจักร พรหมพ้วย
ในการแสดงโขนละครของไทยที่จับเรื่องราวจากวรรณคดีเรื่องต่างๆ มาสร้างสรรค์ในรูปของละคร ตัดตอนมาแสดงโดยเลือกช่วงที่มีความน่าสนใจไม่ว่าจะเป็นจากเนื้อหาที่สนุกน่าติดตาม โดยจับเรื่องหรือตัดมาแต่ตอนที่มีกระบวนรำงามๆ แทรกอยู่ และด้วยอัจฉริยภาพของบุรพาจารย์หรือครูโขนละครที่มีชื่อ มีฝีมือ ได้ออกท่ารำสร้างสรรค์เป็นกระบวนรำใช้เล่นแทรกในละครประเภทต่างๆ ทั้งในรูปแบบโขน ละครใน ละครนอก ละครพันทาง ฯลฯ มีลักษณะเฉพาะตัว ท่ายาก ท่าเก๋ ลูกเล่น แพรวพราว
ฉะนั้นจึงเกิดการสร้างสรรค์เพื่อรำอวดฝีมือของตัวละครกลุ่ม ตัวดี ตัวเอก ได้แก่ พระเอก นางเอก ที่ตัวละครที่เป็นเอกในตอนนั้นๆ หรืออาจเป็นกระบวนของตัวละครเบ็ดเตล็ดที่อวดวิธีรำหรืออวดการแสดงอารมณ์พิเศษที่ซับซ้อน แสดงได้ยาก เกิดเป็นกระบวนรำที่เป็นชุดขนาดยาวใช้แทรกระหว่างละคร เช่น ฉุยฉาย ลงสรง ทรงเครื่อง ตรวจพล บวงสรวง หรือเพลงหน้าชั้นสูงที่ใช้อวดความยากของการรำเป็นพิเศษ เช่น กลมของตัวพระ เชิดฉิ่งของตัวนาง กราวของยักษ์และลิง กระบวนรำกลุ่มนี้เป็นที่หวงแหนของครูบาอาจารย์รุ่นเก่า เพราะถือว่าเป็นของทำมาหากินมิใช่ว่าใครรำเป็นก็จะได้กันทุกคน ครูจะต่อ (ถ่ายทอด) ให้กับตัวนายโรง นางเอก หรือผู้ที่จำเป็นจะต้องออกแสดงเท่านั้น
แต่เดิมไทยเราก็ไม่ได้เรียกรำเดี่ยว ได้ยินแต่ครูอาจารย์ทางโขนละครท่านว่าเป็นรำอวดฝีมือ ที่เรียกรำเดี่ยวเห็นจะมาในยุคนี้โดยอ้างอิงตามคำเรียกอย่างการแสดงบัลเล่ต์ (Ballet) ที่มีเต้นเดี่ยว (Solo) เต้นคู่ (Pas de deux) ฯลฯ ของนักเต้นเพื่ออวดทักษะชั้นสูงเช่นกัน ที่ได้ยินคำไทยโบราณเรียก "เดี่ยว" ก็น่าจะเป็นทางดนตรี ที่มีทางเพลงไว้สำหรับเดี่ยวอวดฝีมือ เรียก "ทางเดี่ยว" หรือ "เพลงเดี่ยว" การรำเดี่ยวแบบไทยในแต่ละกระบวนกินเวลายาวนานมาก บางชุดหากรำเต็มกระบวนยาวกว่าครึ่งชั่วโมงก็มี เพราะการรำแบบโบราณต้องมีการรับร้อง ร้องทวนบท หรือปี่พาทย์บรรเลงรับทุกคำกลอน คนรำก็จะต้องสร้างสรรค์ท่ารับที่เป็นการซัดท่า หรือหาท่ารำแปลกๆ งามๆ มารำเมื่อปี่พาทย์รับโดยไม่รำทวนบท เป็นการแก้จืดตา นักดูรำก็จะดูความเก๋ไก๋ ความยาก ความงามน่าประหลาดตาก็จากกระบวนรำส่วนนี้ ทำให้การดูรำยาวๆ เพลิดเพลินจำเริญตา ทว่าคนยุคใหม่อาจยังงงๆ ว่าผู้รำรำอะไรกันหนักหนากับทำนองที่ซ้ำไปมา การแก้ปัญหาความซ้ำไม่ให้ดูเลี่ยนนี้เอง เป็นเสน่ห์ของงานสร้างสรรค์ของครูโบราณของไทย ซึ่งนักดูในโลกยุคใหม่อาจต้องเรียนรู้และตามให้ทัน
เมื่อศิลปะทางการฟ้อนรำของไทยย้ายพื้นที่จากโรงโขนโรงละครเข้ามาสู่สถาบันการศึกษาที่จัดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบเป็นขั้นเป็นตอน จึงได้มีการหยิบยกเอากระบวนรำเดี่ยวของเก่าเหล่านั้นมาเป็นบททดสอบทางการศึกษา โดยให้นิสิตนักศึกษาเลือกกระบวนรำที่จะใช้สอบ โดยเสนอต้นสังกัดว่าจะรำเพลงอะไรและต่อกับใคร ขั้นตอนนี้ต้องพิจารณามากสักหน่อย เพราะทุกคนจำเป็นจะต้องสอบไม่ว่าฝีมือจะอยู่ในระดับใด ไม่เหมือนกับการคัดเลือกแบบโบราณที่จะครูจะเป้นผู้เลือกตามความเหมาะสมกับบุคลิกภาพและบทบาทของตัวละครในตอนนั้นๆ ฉะนั้นเมื่อผู้เรียนได้มีโอกาสเลือกเองก็เป็นการประเมินได้ว่าเลือกได้เหมาะสมกัยฝีมือและบุคลิกภาพของตนเพียงใด ก่อนที่จะไปหาครูผู้ใหญ่เพื่อรับการถ่ายทอดอย่างจริงจัง หากใครไม่ประมาณตัวเลือกของยากกว่าฝีมือตัวเอง ก็เหมือนกับฆ่าตัวตายกลางโรงในวันสอบ หรือหากเลือกง่ายเกินไปก็ไม่มีส่วนแสดงศักยภาพของตัวให้คณะกรรมการเห็น ทั้งนี้ต้องประเมินตนว่าฝีมือรำของตัวเหมาะกับทางใน ทางนอก หรือพันทาง เพราะเทคนิควิธีรำจะแตกต่างกันมากโขอยู่ ดังนั้นหากเลือกได้เหมาะสมก็จะเป็นการรำอวดฝีมือที่เรียกได้ว่า "รำเดี่ยว" หากเลือกพลาดก็เป็นที่กระอักกระอ่วนใจของทั้งผู้รำ ครูอาจารย์ กรรมการและผู้ชม เพราะต้องทนดูการ "รำคนเดียว" ที่แสนจะยืดยาวไปจนกว่าจะจบกระบวน
ในอดีตคนรำอวดฝีมือจะต้องรู้เพลงการทางปี่พาทย์ที่ใช้ประกอบอยู่มาก ทราบมาว่าครูบางท่านถึงกับต้องไปหัดปี่พาทย์ ตีเครื่องหนัง เพื่อให้รู้วิธีการร้องการบรรเลงอย่างถ่องแท้ หรือบางท่านก็มีความชำนิชำนาญการรำกับปี่พาทย์ ไม่ว่าดนตรีจะบรรเลงมาอย่างไร จะแกล้งกันเพียงไหนก็รำได้จนรอดจนดี เรียกกันว่า "ไม่จน" อีกทั้งกระบวนรำชั้นสูงมีการบรรเลงเครื่องหนังที่เรียกว่า "หน้าทับ" อันเป็นพิเศษสำหรับเพลงแต่ละกระบวน เช่นในกลุ่มของละครในมีเพลงที่ใช้กลองแขกหน้าทับพิเศษประกอบอยู่มาก เช่น ลงสรงโทน ลงสรงสุหร่าย สะระหม่า โยน แปลง ฯลฯ มีรุปแบบการบรรเลงเฉพาะ หากผู้รำเข้าใจเพลงอย่างแตกฉานก็สามารถเล่นเท้า เดาะเท้า ให้ตรงต้องกับเพลงได้ลงตัว ผู้ใดรู้น้อยก็มักไปติปี่พาทย์ว่าตีกลองไม่ต้องเพลง เกิดสำนวนไทยที่ว่า "รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง" ถึงการสอบยุคปัจจุบันทักษะการรำกับวงปี่พาทย์ลดลง ด้วยผู้สอบพะวงว่าจะไม่เหมือนกับที่ซ้อมมา หรือกลัวรู้ไม่ทันปี่พาทย์ ถึงยุคเทคโนโลยีจึงเกิดการรำกับเสียงปี่พาทย์ที่บันทึกไว้แล้ว อรรถรสที่จะได้เห็นการซัดท่ารำเพลงเร็ว การตื่นกลอง การเล่นตะโพน ก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากการสอบรำเดี่ยว
อีกทั้งเมื่อยุคที่วัสดุหาได้ง่าย การเสาะแสวงหาเครื่องแต่งกายงามๆ สร้างฉากเติมเต็ม สวมเครื่องประดับตามบทร้อง ก็เริ่มมีมากจนไม่หลงเหลือพื้นที่แห่งจินตนาการ โดยอาจลืมไปว่าโขนละครแบบโบราณนั้นตั้งเตียงตั่งแต่เพียงตัวเดียวก็สามารถรำละครได้ทั้งเรื่องทั้งตอน ผู้ชมจะจดจ่อไปที่ตัวละครและกระบวนรำว่าสามารถทำให้สร้างจินตนาการตามบทประพันธ์ได้สมบูรณ์เพียงใด ลองดูกระบวนรำเชิดฉิ่งเมขลา ที่แสดงกระบวนการตามท้องเรื่องเมื่อเมขลาจะออกจากวิมาน ก็มีท่าปิดบัญชรวิมานทีละช่องๆ เมื่อเหาะมาในอากาศได้ยินเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าก็ตกใจ แสดงออกด้วยท่าตื่นกลอง ตุ๊มๆ ต่อมๆ เหล่านี้เป็นการสร้างจินตนาการชั้นสูงอย่างไทยแท้ที่บุรพาจารย์บรรจงแทรกไว้ในกระบวนรำเดี่ยวต่างๆ รอคอยผู้มีความสามารถที่จะแสดงให้ "ถึง" ให้คนดูเข้าใจและสัมผัสได้ตามอารมณ์และเนื้อหาของเรื่องราว
อย่างไรก็ดี การสอบรำเดี่ยวก็ได้แสดงศักยภาพของเด้กยุคใหม่ที่มุ่งมั้นตั้งใจในการเรียนรำไทย หลายคนเป็นครั้งแรกที่ได้แต่งเครื่องละคร สวมมงกุฎชฎาออกรำเป้นครั้งแรกในชีวิต จึงขอให้บันไดก้าวแรกในชีวิตนี้นำทางให้นิสิตนักศึกษาเหล่านั้นได้เข้าถึงแก่นแท้ของการรำ มิใช่เพียงเปลือกจากเครื่องแต่งกายและภาพถ่ายอันงดงาม
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓
ความคิดต่าง ๆ นานาถูกหยิบมาอภิปราย ถกเถียง เทียบเคียงกับหลักสูตรในประเทศ ต่างประเทศ และความจำเป็นเร่งด่วนให้รับกับโลกที่หมุนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ทว่า ยิ่งคิดยิ่งติดกับดักของระบบบางระบบ ของคำบางคำ ต่อให้ผลิตคนให้ดีปานใดก็ไม่มีพื้นที่ให้เขาเหล่านั้นได้ทำงาน บางระบบก็ยังปรารถนา "วุฒิตรง" ที่มีสาขาวิชาตรงตามระเบียบไม่ผิดเพี้ยนตัวอักษร ไม่สนใจอินทร์พรหมยมยักษ์ว่าโลกเดินไปไกลกว่าเกณฑ์ กพ แล้ว และต่างโยนความผิดให้กันไปมา ไม่สนใจนักเรียน นักศึกษาที่รอบทสรุป
บางระบบก็รับแต่หมู่พวกของตนไม่สนคนรู้จริง เชี่ยวชาญจริง เพราะกลัวจะไปทำลายระบบ ทลายคอกที่สร้างเอาไว้ขังตัวเอง เอื้อกันเอง อวยกันเอง
เมื่อสังคมไม่ต้องการความคิด ความก้าวหน้า ก็จงว่ายวนในอ่างศิลปะใบเดิม ชื่อเดิม ๆ น้ำเดิม ๆ กันต่อไป ...อนิจจัง...